“เจอรถเต่าให้หยิก!!”
ประโยคนี้ผุดขึ้นมาในหัวหลังจากเจอข่าว Volkswagen เตรียมยกเลิกผลิตรุ่น Beetle ในปีหน้า
ไม่รู้ว่าทำไมต้องหยิก บ้างก็บอกว่าแก้เคล็ด
บ้างก็บอกว่าหยิกคนข้างๆ ให้หันมาดูเพราะมันหาในไทยยาก
แต่ไหนๆ ที่มันกำลังจะเลิกผลิตแล้ว เพจแนวคิดพันล้านเลยอยากจะพาทุกคนไปรู้จักต้นกำเนิด ของรถในตำนานรุ่นนี้กันครับ…
จะมีสักกี่คนที่รู้ว่ารถ Beetle มีมีต้นกำเนิดมาจากไอเดียของ Adolf Hitler ในปี 1938
เขาอยากผลิตรถยนต์ที่คนเยอรมันสามารถใช้งานได้ทั่วไป
โดยมีแนวคิดว่าเรียบง่าย ดูดี และทุกคนเข้าถึงได้
ซึ่งคำว่า volks wagen ก็แปลว่า “รถของประชาชน” ด้วยนั่นเอง
Hitler สั่งให้ Ferdinand Porsche (ผู้ก่อตั้ง Porsche นี่แหละ) มาออกแบบรถรุ่นใหม่นี้ แล้วตั้งชื่อมันว่า The Type 1
หลังจากนั้นก็เริ่มการผลิตในโรงงานที่เมืองโวฟสบวร์กในปีนั้น
แต่ก็ต้องหยุดกลางคันเพราะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2
กระทั่งปี 1946 หลังสงครามยุติ อังกฤษเข้ามาควบคุมดูแลโรงงาน และเดินสายการผลิตต่อทันที
ภายในสิ้นปีนั้นเอง มีการผลิตรถกว่า 10,000 คัน
และใครจะคิดว่ารถ The Type 1 จะสร้างยอดขายถล่มทลายในอีกสิบปีให้หลัง กว่า 1,000,000 คันทั่วโลก!!
ที่มาของชื่อ Beetle
เนื่องจากรูปร่างของรถ มีลักษณะเหมือนแมลงปีกแข็ง คนจึงเรียกชื่อเล่นมันว่า Bug
เมื่อคนทั่วไปเปรียบให้มันคล้ายกับแมลง ต่อมาในปี 1968 มันจึงได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า Beetle
ซึ่งคำนี้แปลว่า “ตัวด้วง” นั่นเอง
ขณะที่ในไทย อาจจะเพราะรูปร่างมันดูเหมือนเต่า มากกว่าตัวด้วง หรือคล้ายคลึงกับแมลงเต่าทอง ซึ่งเป็นชื่อ Bug ในภาษาอังกฤษ
ไทยก็เลยเรียกง่ายๆ ว่า “รถเต่า” เป็นตัวแทนทั้งเต่า และเต่าทองเสียเลย
ปี 1972 รถเต่าสร้างยอดขายรวมกันกว่า 15 ล้านคันทั่วโลก นับตั้งแต่มีการผลิต
แต่กระนั่นตั้งแต่ปี 1975 รถได้รับความนิยมลดลงไปตามกาลเวลาและยุคสมัยที่เปลี่ยนไป
พอถึงปี 1998 เป็นเวลา 60 ปีหลังจากตัวโมเดลแรก ทาง Volkswagen จึงพยายามปลุกมันขึ้นมาอีกครั้ง
คราวนี้พวกเขาออกรถรุ่น New Beetle มาทำตลาดอีกรอบ
แม้มันจะกระตุ้นยอดขายให้กระเตื้องขึ้นมาได้บ้าง เมื่อขายได้เฉพาะในอเมริกา 80,000 คันในปีนั้น
แต่ยอดขายก็ทรุดลงเรื่อยๆ ผ่านมาแล้ว 20 ปีจนถึงตอนนี้ ก็ไม่มีทีท่าว่าจะฮิตเหมือน Beetle ต้นตำรับในครั้งอดีตเลย
แถมลดลงอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2013!!
ทำให้บริษัทประกาศให้รถในรุ่น Beetle Final Edition ปี 2019 (แบบที่เห็นในภาพ) จะกลายเป็นรถรุ่นสุดท้ายที่จะผลิต
เพราะอะไรจึงทำให้ Beetle ถึงจุดสิ้นสุด??
รถรุ่น Beetle แม้จะมีดีไซน์ที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ แต่ดีไซน์ 2 ประตู อาจจะไม่ตอบรับกับความต้องการของผู้บริโภคทั่วไปในยุคใหม่
พวกเขาอาจจะมองว่ายุคนี้สามารถหารถราคาประหยัด 4 ประตู ซึ่งขับใช้งานในชีวิตประจำได้ไม่ต่างกัน แถมใช้ประโยชน์ได้มากกว่าอีก
แต่… สำหรับแฟนรถเต่า ก็มีข่าวดีให้ใจชื้นขึ้นมาอีกหน่อย
เมื่อคุณ Klaus Bischoff หัวหน้าฝ่ายออกแบบของ Volkswagen เผยว่ามีความเป็นไปได้ที่ “รถเต่า” จะกลับมาในแบบรถยนต์ไฟฟ้า
ซึ่งพวกเขามีการออกแบบรถเต่ารุ่นใหม่แบบเครื่องยนต์ไฟฟ้า แม้เปลี่ยนภายใน แต่ภายนอกก็จะต้องคลาสสิค
รูปแบบนั้นมีทั้ง 2 ประตูและ 4 ประตู
(แต่ความเป็นไปได้ เขาบอกว่ามีโอกาสเป็น 4 ประตูตามสมัยนิยมมากกว่า)
แม้จะฟังเป็นข่าวดี แต่รถรุ่นใหม่นี้คงยังไม่ได้ออกมาในอนาคตอันใกล้นี้แน่นอน
อย่างน้อยก็ต้องรอจนกว่ากระแสความนิยมของรถยนต์ไฟฟ้าจะมีมากขึ้นกว่านี้นั่นเอง…
Volkswagen สอนให้เราต้องปรับตัวเพื่ออยู่รอด
ในโลกของธุรกิจ แม้สิ่งนั้นมันจะมีคนรักมากแค่ไหน แต่ถ้ามันไม่สามารถสร้างผลกำไรได้ ก็อาจจะถึงคราวต้องยุติมัน
ปฏิเสธไม่ได้ว่า “รถเต่า” เป็นรถเฉพาะกลุ่ม ที่ผู้ใช้ก็หลงรักมันมาก
ขณะที่คนทั่วไปที่ไม่ได้เป็นลูกค้า ก็อาจจะชอบมันเช่นกัน แต่ด้วยปัจจัยหลายอย่างจึงอาจจะไม่สะดวกในการซื้อมาใช้งาน
“ความชอบ” เพียงอย่างเดียวนั้นไม่ได้สร้างกำไรให้กับบริษัทได้
สุดท้ายพวกเขาก็มาถึง “ทางแยก” ที่ต้องเลือก ว่าจะทำมันต่อไป หรือตัดมันทิ้งเพื่อความอยู่รอดของกิจการโดยรวม
วันนี้ Volkswagen ตัดสินใจเลือกอย่างหลัง แต่ก็ไม่ใช่การทิ้งลงถังขยะไปเลย
พวกเขายังเก็บไอเดีย “รถเต่า” ไว้ รอวันที่เหมาะสม วันที่โลกหมุนมาบรรจบกับมัน วันที่ตลาดต้องการมันอีกครั้ง
ใครจะไปรู้ว่าอีก 80 ปีข้างหน้า…
เราอาจจะเห็นรถเต่าพลังงานไฟฟ้า ขับเคลื่อนด้วย AI (แถมบินได้) ออกมาโลดแล่นนับล้านคันทั่วโลก เหมือนที่มันเคยเกิดขึ้นในอดีตก็เป็นได้
ที่มา:
www.forbes.com/sites/msolomon/2018/09/14/luxury-lineage-a-brief-history-of-the-volkswagen-beetle/#4bc2554c5048
www.headlightmag.com/news-all-new-volkswagen-beetle-may-be-4-door/
www.catdumb.com/volkswagen-beetle-end-007/
www.autodeft.com/deftreport/volkswagen-maybe-make-electric-vehicle-replace-beetle
Advertisement
