การทำธุรกิจเพียงอย่างเดียวนั้น ข้อดีก็คือการที่เราสามารถทุ่มเทให้กับมันได้อย่างเต็มที่ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีข้อเสียเลย เพราะมันเหมือนคำกล่าวที่ว่า “เอาไข่ทั้งหมดใส่ตะกร้าใบเดียว” หากมีข้อผิดพลาดหรือเจอกับวิกฤติ เราก็จะสูญเสียทุกอย่างไปทั้งหมด
ในโลกของธุรกิจ การเพิ่มกิจการเข้าไปเพื่อกระจายความเสี่ยง รวมถึงเพิ่มรายได้ให้มากกว่าหนึ่งทาง ก็เป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้กับการทุ่มเททำธุรกิจเดียวอย่างเต็มที่เช่นกัน
แล้วถ้าถึงเวลาที่เราจำเป็นต้อง “ขยายกิจการ” นักธุรกิจทั้งหลายก็จะมีทางเลือกอยู่หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นการขยายสาขาในธุรกิจเดิม ขยายไปยังธุรกิจใกล้เคียง การสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด หรือกระทั่งการซื้อแฟรนไชส์เพื่อต่อยอดได้ง่ายขึ้น
แน่นอนว่า แต่ละแบบก็ย่อมมีข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป
การขยายไปยังธุรกิจที่ใกล้เคียง
หลายคนเลือกที่จะขยายไปยังธุรกิจใกล้เคียง ยกตัวอย่างเช่น หากธุรกิจเดิมเป็นอาหาร ก็จะขยายไปยังธุรกิจเครื่องดื่ม-ขนมหวาน หากธุรกิจเดิมเป็นเกษตร ก็ต่อยอดสู่การแปรรูปวัตถุดิบเป็นสินค้าเพื่อขาย
การขยายไปยังธุรกิจใกล้เคียง เป็นทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอันดับต้นๆ สำหรับคนที่คิดจะขยายกิจการ แต่ก็ยังคงต้องอาศัยความรู้ในธุรกิจใหม่อีกไม่น้อยเช่นกัน
การสร้างธุรกิจขึ้นมาใหม่ด้วยตนเอง
ในเมื่อมีประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานทำธุรกิจแรกแล้ว หลายคนอาจจะมองว่า มันคงไม่ใช่เรื่องยากหากจะขยายไปยังธุรกิจอื่นๆ ตามมา
แต่ในความเป็นจริง การข้ามไปจับธุรกิจใหม่นั้น แม้มีคนสำเร็จไม่น้อย แต่ก็ล้มเหลวไปไม่น้อยเช่นกัน จากการที่ขาดประสบการณ์อย่างแท้จริงในธุรกิจ
และบางครั้ง ธุรกิจใหม่ที่ไม่สามารถทำกำไรได้คุ้มกับความทุ่มเท เงินทุน หรือเวลาที่เสียไป อาจจะส่งผลเสียย้อนกลับมายังธุรกิจหลักของเราก็เป็นได้
การลงทุนในธุรกิจแฟรนไชส์
ธุรกิจแฟรนไชส์ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่คิดขยายธุรกิจ เพราะมีธุรกิจให้เลือกครอบคลุมแทบทุกด้าน มีตัวอย่างของคนที่เคยประสบความสำเร็จ มีแนวทางให้ได้เดินตามแบบคร่าวๆ อยู่แล้ว
แต่แน่นอน ท่ามกลางแฟรนไชส์นับพันนับหมื่นรายที่มีให้เลือกในตลาด เราก็จำเป็นต้องคิดแล้วคิดอีก คัดกรองจนมาเหลือไม่กี่แบรนด์เท่านั้น
นำไปสู่คำถามถัดไปที่ว่า…
แล้ว “แบรนด์” แฟรนไชส์ที่มีมาตรฐาน จะต้องประกอบด้วยอะไรบ้าง!?
แน่นอนว่าถ้าเป็นเรื่องของธุรกิจ ความมั่นคง ก็ต้องมาเป็นอันดับแรก การเลือกแบรนด์ที่มีความน่าเชื่อถือสูง มีร้านเป็นที่รู้จักทั่วประเทศ ก็ย่อมการันตีคุณภาพของแบรนด์ได้ระดับหนึ่ง
ถัดมา คือเรื่องของความคุ้มทุน จุดนี้จะแบ่งได้เป็นสองส่วนหลักๆ คือการคำนวณดูค่าใช้จ่ายในการซื้อแฟรนไชส์ มีค่าแรกเข้าเท่าไร มีค่าใช้จ่ายรายปีมากน้อยแค่ไหน
รวมไปถึงการมาคำนวณว่าร้านสาขาที่เราเปิด จะสามารถสร้างยอดขาย ทำกำไรคุ้มค่ากับการจ่ายค่าแฟรนไชส์ไปหรือไม่ นานแค่ไหนถึงจะคุ้มทุน ซึ่งแฟรนไชส์ที่ไม่มีค่าใช้จ่ายรายปี หรือการเก็บเปอร์เซ็นต์แฟรนไชส์ ก็จะได้ข้อดีในจุดนี้
เรื่องของการบริหารจัดการก็สำคัญ มันคงไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ หากเราต้องเสียเงินให้กับแฟรนไชส์แล้ว ยังต้องมากังวลปัญหาจุกจิก เช่น วัตถุดิบไม่ได้มาตรฐานคงที่ ของขาดสต็อกบ่อยๆ จึงเป็นอีกเรื่องที่ต้องนำมาคำนึงถึงด้วย
อีกประเด็นคือการช่วยสนับสนุนผู้ซื้อแฟรนไชส์ การเลือกแบรนด์ที่ไม่ได้มีการทำการตลาดที่ชัดเจนอาจทำให้ขายยากขึ้นตามไปด้วย แต่หากแบรนด์ไหนมีการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยทั้งตัวแบรนด์ และทำตลาดให้กับผู้ลงทุนไปด้วย ก็ย่อมทำให้สามารถขายได้ดียิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างแฟรนไชส์ที่มีมาตรฐานดังกล่าวครบครัน อย่าง Five Star
ในคลิปนี้ “คุณพรเศก ภาคสุวรรณ” หนึ่งในนักธุรกิจห้าดาว ได้ออกมาเล่าประสบการณ์ตรงของตัวเอง
ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า Five Star เข้าเกณฑ์ของแบรนด์แฟรนไชส์ที่มีมาตรฐานดีแทบทุกข้อ ไม่ว่าจะเป็น..
– มีสินค้าที่คุ้นเคย และซื้อกันเป็นประจำอย่าง ไก่ย่างห้าดาว และไก่ทอดห้าดาว อีกทั้งยังมีสินค้ากินเล่นอื่นๆ ที่หลากหลายเพื่อเป็นตัวเลือกให้ลูกค้า
– จ่ายเพียงค่าแรกเข้าแฟรนไชส์ และค่าสินค้าล็อตแรก ไม่มีหักเปอร์เซนต์
– มีการบริหารจัดการสต็อกสินค้าอย่างมืออาชีพ และรสชาติไก่ได้มาตรฐานเดียวกันทั่วประเทศ
– ห้าดาวมีการทำการตลาด โปรโมตสินค้าและแบรนด์ของตัวเอง ผ่านทางสื่อต่างๆ อย่างเป็นประจำอยู่แล้ว
– มีการจับมือเป็นพาร์ทเนอร์กับ Delivery อย่าง Get , Grab และมีบริการ Delivery ที่เป็นของแบรนด์เองชื่อว่า Star Delivery ทำให้ผู้ลงทุนสามารถขายของได้อีกช่องทาง
และ Five Star ก็จะเป็นอีกแบรนด์มาตรฐาน ให้คนที่คิดจะริเริ่มทำธุรกิจของตัวเอง ได้ลองพิจารณาเลือกมาเป็นแบรนด์ตั้งต้นของตัวเองครับ..
สนใจทำธุรกิจห้าดาว สอบถามรายละเอียดที่ www.fivestar.in.th หรือโทร 02-800-8000
และสำหรับคนที่ต้องการค้นหาแรงบันดาลใจ ค้นหาความรู้ในการทำธุรกิจจากบทเรียนอื่นๆ ได้ที่ www.fivestar-class.com หรือแอดไลน์ @FiveStarClass ได้เลย
