แบงค์ชาติเตรียมเริ่มทดลองใช้ “เงินบาทดิจิทัล” สู่สังคมไร้เงินสดในโลกอนาคต
ถึงแม้การเริ่มใช้งานอย่างเร็วที่สุด จะเป็นช่วงกลางปี 2022 เป็นต้นไป แต่เรื่องนี้มีความสำคัญกับทุกคน
เงินดิจิทัลคืออะไร? จะกระทบอะไรกับเราบ้าง? มาติดตามสรุปเป็นการเบื้องต้นได้เลยครับ..
มันต่างกันยังไง ทุกวันนี้เราก็โอนเงินให้กัน ผ่านระบบดิจิทัลไม่ใช่เหรอ?
อันนี้ที่จริงชื่อเรียก อาจจะทำให้หลายๆ คนสับสนเอาได้ แต่โครงการเงินบาทดิจิทัลนั้น จะเป็นคนละรูปแบบกันกับเงินบาท ที่เราใช้งานในแอปพลิเคชันทั่วๆ ไป
เงินที่เราใช้ในแอปฯ ทุกวันนี้ จะเรียกว่า e-Money หรือเป็นการพิมพ์ธนบัตรออกมาก่อน แล้วค่อยมาแปลงเป็นตัวเลขภายหลัง
ยกตัวอย่างเช่น ธนาคารกลางสั่งพิมพ์ธนบัตรออกมา ก่อนที่จะป้อนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านทางธนาคารต่างๆ หรือนโยบายของรัฐ
ซึ่งธนบัตรก็จะถูกเก็บเอาไว้ในคลังของธนาคารเอง กับถูกนำมาหมุนเวียนใช้จ่ายกันผ่านตัวกลางต่างๆ
ลองนึกว่าสมัยก่อน ใครที่ไม่มีแอปฯ หรือระบบออนไลน์ใดๆ ก็จะต้องไปถอนเงินสดมาใช้ จ่ายเงินกันเปลี่ยนมือไปเรื่อยๆ
ส่วนใครที่มีแอปฯ เงินเหล่านั้นก็จะถูกเปลี่ยนจากกระดาษมาเป็นตัวเลขในแอปฯ เท่านั้น เพียงแต่เงินกระดาษนั้นก็ยังคงมีอยู่

แต่เงินบาทที่เป็น “บาทดิจิทัล” ที่กำลังจะมีการเปิดทดสอบใช้งานนั้น คือเงินดิจิทัลจริงๆ เลย
โดยที่ธนาคารกลางจะออกเงินมาบนระบบบล็อกเชน (การออกเงินยังต้องมีสินทรัพย์อื่น เช่น เงินสด หรือทองคำ ค้ำประกันเหมือนเดิมนะ)
แล้วเงินดังกล่าวก็สามารถป้อนเข้าสู่ระบบได้โดยตรง เช่น ผ่านโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ หรืองบประมาณประจำปี แล้วก็เข้ากระเป๋าเงินดิจิทัลของคนไทย ที่แต่ละคนก็จะมีกระเป๋าเงินดิจิทัลเฉพาะตัว
คนไทยที่จะใช้เงิน ก็สามารถเอาเงินเหล่านั้นไปจ่ายกันได้เลยเหมือนการใช้เงินสด แม้จะไม่มีแอปฯ ของธนาคารมาเป็นตัวกลางก็ตาม
แต่จะมีความแตกต่างจากเงินสดก็คือ ทุกการใช้จ่ายระหว่างกัน จะมีการบันทึกธุรกรรมลงระบบบล็อกเชนเอาไว้ตลอด ทำให้สามารถติดตามเงินได้ทุกบาท ว่าถูกใช้ทำอะไร หรือผ่านมือใครมาบ้าง
(เหมือนเราเขียนบันทึกลงบนธนบัตรแหละ ว่าเงินนี้เอาจ่ายค่าอะไรไป ซึ่งในความจริงมันเขียนลงบนธนบัตรไม่ได้ และต่อให้ทำได้ พอใช้ไปเยอะๆ ก็มีพื้นที่ไม่พอเขียนอีก)
แสดงว่ามันก็เหมือนกันกับ Bitcoin สินะ?
จะว่าไปก็ไม่ใช่ซะทีเดียวอีก ถึงแม้จะมีจุดที่เหมือนกันคือการใช้งานผ่านระบบบล็อกเชน เพื่อให้เกิดทั้งความปลอดภัยและโปร่งใสในการใช้งาน
แต่เพราะ Bitcoin หรือสินทรัพย์ดิจิทัลหลายๆ อย่าง เกิดขึ้นมาบนแนวคิด Decentralize ที่ไม่มีใครมาควบคุมเป็นหลัก
แต่เงินบาทดิจิทัล จะถูกออกมาและควบคุมโดย CBDC ซึ่งย่อมาจาก Central Bank Digital Currency หรือในที่นี้ก็คือธนาคารแห่งประเทศไทยเอง
แสดงว่าเงินที่ออกไปเหล่านี้ ก็จะถูกควบคุมโดยตรงจากศูนย์กลาง ที่สามารถรับรู้ และติดตามข้อมูลของการใช้จ่ายได้ทุกอย่าง
อย่างการจ่ายให้นาย A ไปนาย B สู่นาย C จ่ายให้กันเท่าไรบ้าง ผ่านมือใครบ้าง ก็จะมีการบันทึกเอาไว้ทั้งหมด
จึงจะต่างจากเงินสดตรงที่ เงินสดมีโอกาสหลุดออกไปในขั้นตอนนี้ แล้วอาจจะถูกใช้ในการทำผิดกฎหมาย อย่างจ่ายเงินใต้โต๊ะ หรือซื้อยาเสพติด ก่อนที่จะผ่านกระบวนการฟอกเงินกลับมาใช้ให้ถูกอีกครั้ง
แต่หากกระเป๋าเงินบาทดิจิทัลของข้าราชการคนหนึ่ง มีเงินก้อนโตเข้ามาอย่างผิดปกติ ทางศูนย์กลางก็จะรับรู้ได้ในทันทีเช่นกัน
อีกเรื่องที่น่าสนใจก็คือความผันผวนของราคา ในขณะที่สินทรัพย์ดิจิทัลหลายๆ อย่าง จะราคาขึ้นลงตามความต้องการของตลาด บางครั้งอาจจะขึ้นลง +10% และ -10% ในวันเดียว
แต่เงินบาทดิจิทัล จะถูกผูกค่ากับเงินบาทแบบ 1:1 ซึ่งก็จะมีหน่วยงานอย่างธนาคารกลาง มาคอยควบคุมในจุดนี้อยู่แล้ว เพื่อไม่ให้ราคาผันผวนจนเกินไป

เงินดิจิทัล จะเป็นอนาคตแห่งโลกการเงิน?
สำหรับโครงการเริ่มต้นใช้งานเงินบาทดิจิทัล หรือที่แบงค์ชาติเรียกว่าโครงการ Retail CBDC นี้ น่าจะเริ่มใช้ได้ในไตรมาส 2 ปีหน้าเป็นต้นไป
เบื้องต้นจะเริ่มมีการปล่อยทดสอบใช้ในวงจำกัด เช่น การใช้งานกับเอกชนบางราย และนักพัฒนาที่ผ่านเกณฑ์ก่อน
ทั้งนี้ก็เพื่อศึกษาข้อมูล ศึกษาผลกระทบต่อระบบการเงินเดิม และนำไปสู่การหาข้อสรุปในเรื่องกฎระเบียบ และข้อกฎหมายต่างๆ ตามมา
เงินบาทดิจิทัลนั้น หลังผ่านการทดสอบใช้งานในระยะแรก คาดว่าอีกไม่นานก็คงจะต้องมีการทดสอบใช้งานในภาคประชาชนเป็นวงกว้างแน่ๆ
ถ้าถามว่าเงินบาทดิจิทัลคืออนาคตของการใช้จ่ายเงินในไทยหรือไม่?
แต่อันที่จริง ต้องพูดว่า “ระบบบล็อกเชน” จะเป็นอนาคตแห่งโลกการเงินอย่างแน่นอนมากกว่า เพียงแต่น่าสนใจว่ามันจะออกมาในรูปแบบไหนเท่านั้น?
อนาคต Bitcoin อาจจะถูกนำมาใช้งานจริงก็เป็นได้
หรือเงินบาทดิจิทัล จะประสบความสำเร็จ ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย จนแทนที่เงินสดแบบเดิมได้ทั้งหมด ก็เป็นได้
หรือในอนาคตอันใกล้ จะมีสกุลเงินกลางของโลก ที่เกิดขึ้นมาบนบล็อกเชน โดยที่แทบไม่มีข้อเสีย แล้วเกิดการปฏิวัติระบบทั้งหมดไป ก็เป็นได้เช่นกัน
คุณคิดเห็นอย่างไรกันบ้างครับ…?
ที่มา:
www.bangkokbiznews.com/news/detail/955561
www.bot.or.th/Thai/ResearchAndPublications/articles/Pages/Article_10Aug2020.aspx
www.krungsri.com/th/plearn-plearn/bath-yuan-digital
www.thestorythailand.com/11/07/2020/3321/
Advertisement