Facebook
Twitter
LINE

ประเทศจีนนั้น นอกจากจะมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกแล้ว ยังมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สูงมากในช่วงหลัง

อ้างอิงจากธนาคารโลก ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจจีนเติบโตขึ้นถึงปีละ 7% ซึ่งเป็นตัวเลขที่มากกว่าไทยเราอยู่ประมาณ 2 เท่า!!

จึงไม่แปลกใจที่ตลาดหุ้นจีน จะเป็นอีกตลาดที่ดึงดูดเม็ดเงินจากต่างชาติให้เข้าไปลงทุน ถึงแม้จะมีข้อกำหนดด้านเงินทุนที่เคร่งครัดจากรัฐบาลจีนอยู่เป็นระยะๆ ก็ตามที

 

สำหรับบริษัทในจีน จะจดทะเบียนอยู่ใน 3 ตลาดใหญ่ๆ ก็คือ ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ ตลาดหลักทรัพย์เซินเจิ้น และตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง

ซึ่งสำหรับนักลงทุนรายย่อย การลงทุนในตลาดฮ่องกงนั้นจะทำได้สะดวกกว่า เพราะมีหลายโบรกเกอร์ที่เปิดให้บริการ

แต่การเข้าซื้อหุ้นในประเทศจีน ยังคงเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ยาก นั่นจึงทำให้การลงทุนผ่านกองทุนซึ่งมีหุ้นตัวที่เราสนใจ ก็จะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการลงทุนได้เช่นกัน

สำหรับนักลงทุนที่สนใจลงทุนในจีน ในคอนเทนต์นี้เราจะพาไปรู้จักกองทุนไทย ซึ่งทำผลงานได้ดีที่สุดในช่วงเวลา 5 ปีที่ผ่านมาครับ..

 

ถ้าเราลองย้อนดูผลตอบแทน 5 ปีหลัง ของดัชนีหุ้นจีนนั้น จะให้ผลตอบแทนดังนี้

ดัชนี CSI 300 หรือหุ้น 300 บริษัทใหญ่ในตลาดเซี่ยงไฮ้และเซินเจิ้น ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 9.98% ต่อปี

ดัชนี้ HSI หรือหุ้น 50 บริษัทใหญ่ในตลาดฮ่องกง ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 6.81% ต่อปี

 

เราก็จะพบว่าทั้ง 5 กองทุนที่ยกขึ้นมา สามารถทำผลตอบแทน “เอาชนะตลาดหุ้น” ได้ทั้งหมด โดยมี TMBCOF เป็นกองทุนที่สร้างผลตอบแทนได้เฉลี่ยเกือบ 20% ต่อปี

ซึ่งผลตอบแทนในระดับนี้ จะทำให้เงินลงทุนของเราเพิ่มมากกว่า 2 เท่า ในระยะเวลา 5 ปีด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม ผลตอบแทนในอดีตก็ไม่ได้การันตีผลตอบแทนในอนาคตเสมอไป เพราะเราจะพบว่าในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา มีกองทุนอย่าง MS-CHINA VALUE และ UOBSGC ซึ่งสร้างผลตอบแทนได้ในระดับ 50% ด้วยเช่นกัน

 

ทีนี้ เราลองมาดูข้อมูลเบื้องต้นกันก่อนครับ ว่าแต่ละกองทุนนั้นลงทุนในหุ้นอะไรบ้าง?

จะพบว่าบริษัทใหญ่ของจีน ที่แทบทุกกองทุนจะมีเหมือนกันนั่นก็คือ Tencent, Alibaba และ Ping An ซึ่งดำเนินธุรกิจในด้านเทคโนโลยี อีคอมเมิร์ซ และธุรกิจการเงิน

แต่ในส่วนของการลงทุนในหุ้นที่แตกต่างไปอย่างเห็นได้ชัด ของกองทุนที่ทำผลงานได้ดีที่สุด ได้แก่

TMBCOF มีสัดส่วนของ TAL ธุรกิจการศึกษาออนไลน์ อยู่มากที่สุด โดยกองทุนอื่นนั้นไม่มีมาติดในท็อป 5 เลย

KF-HCHINAD มีสัดส่วนของบริษัท TSMC ผู้ผลิตชิปประมวลผลรายใหญ่จากไต้หวัน อยู่เป็นสัดส่วนสูงสุด

 

สุดท้าย เรามาสรุปข้อมูลอื่นๆ ที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นเงินปันผล ค่าธรรมเนียม ค่าใช้จ่ายกองทุน และเงินที่ใช้ในการซื้อขั้นต่ำ

ซึ่งแต่ละกองทุนก็จะมีความแตกต่างกันออกไปเล็กน้อยครับ

 

โพสต์นี้ไม่ได้มีเจตนาชี้ชวนให้ใครมาซื้อกองทุน หรือลงทุนในหุ้นจีนแต่อย่างใด อย่าลืมว่าผลตอบแทนที่ดีในอดีต ไม่ได้การันตีว่าอนาคตจะได้ผลตอบแทนที่ดีเสมอไป

อย่าลืมศึกษาสิ่งที่จะลงทุนให้รอบคอบ วิเคราะห์ และมองถึงความเสี่ยงไว้ก่อนทุกครั้ง

หวังว่าจะมีประโยชน์ต่อทุกคนได้ไม่มากก็น้อยครับ..

Advertisement

แสดงความคิดเห็น...