ยุคนี้การวัดเศรษฐีเงินล้าน กลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว
เพราะสิ่งที่น่าติดตามกว่าก็คือการวัดเศรษฐีระดับ Billionaire
นั่นคือกลุ่มที่มีทรัพย์สินเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 30,000 ล้านบาทขึ้นไป)
คุณคิดว่าประเทศไหนมีเหล่ามหาเศรษฐีเยอะที่สุด
ตอนนี้คำตอบก็ยังคงเป็น สหรัฐอเมริกา ที่ครองแชมป์มาแสนนาน
แต่อนาคตมันกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว…
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน
เหล่า Billionaire สัญชาติจีนมีอยู่เพียง 16 คนเท่านั้น
แต่เนื่องจากการเติบโตทั้งทางภาคอุตสาหกรรม และด้านเทคโนโลยีในช่วงหลัง
เป็นตัวเร่งให้เกิด “ความร่ำรวยมหาศาล” ขึ้นมาในประเทศจีน
โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีหลัง
จำนวน Billionaire ในจีนขยับขึ้นจาก 123 คน ในปี 2012
กลายมาเป็น 373 คนในปี 2017
นอกจากจะเพิ่มขึ้นมากถึง 3 เท่าตัวแล้ว
หากเรานับเฉพาะปีล่าสุด มีจำนวนมหาเศรษฐีหน้าใหม่ที่เข้าระดับ Billionaire จำนวน 106 คน
เฉลี่ยแล้วทุกๆ 3 วัน จะมีคนจีนรวยขึ้นจนแตะระดับนี้ 1 คนเลยทีเดียว
ตัวเลขที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ
จำนวน Billionaire ของจีนมีอัตราเติบโตที่สูงกว่าทางฝั่งสหรัฐอเมริกา
แม้ปัจจุบันจำนวนจะต่างกันอยู่ระหว่าง 585 และ 373 คน
แต่ด้วยการเติบโตระดับนี้ คาดการณ์ว่าภายในอีก 3 ปีข้างหน้า
ตัวเลขของมหาเศรษฐีในจีน จะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาได้ในที่สุด
ตัวเลขเปรียบเทียบจำนวน Billionaire จีน vs สหรัฐอเมริกา
กระแสความร่ำรวยกำลังไหลมาทางเอเชียจริงหรือ??
ข้อมูลนี้ตรงกับการจัดอันดับอีกอย่างของสถาบัน Wealth-X
ซึ่งทำการจัดอันดับเศรษฐีที่มีทรัพย์สินเกิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 940 ล้านบาท)
พบว่า “ฮ่องกง” กลายเป็นเมืองที่มีคนรวยมากที่สุดในโลก
แซงหน้า “นิวยอร์ก” ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก
ด้วยการเพิ่มขึ้นของเหล่าคนรวยกว่า 31% มีตัวเลขเบ็ดเสร็จประมาณ 10,000 คนเลยทีเดียว
ขณะที่นิวยอร์กที่ได้อันดับสองนั้น มีมหาเศรษฐีระดับนี้ประมาณ 9,000 คน
ยิ่งเป็นการตอกย้ำข้อมูลในส่วนที่ว่า ความร่ำรวยกำลังค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นในฝั่งเอเชียนั้นเป็นเรื่องจริง
คนจีนรวยแล้วเอาเงินไปไหน??
คำถามที่น่าสนใจไม่แพ้เรื่องรวยได้อย่างไร คือเรื่องของการลงทุนต่อจากนั้น
พบว่านอกจากการทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีซึ่งเศรษฐีจีนรุ่นใหม่นิยมกันแล้ว
ยังมีการนำเงินไปลงทุนกับบริษัท และอสังหาริมทรัพย์ในฝั่งอเมริกา-ยุโรป เป็นจำนวนไม่น้อย
โดยมีตัวเลขเม็ดเงินจากเศรษฐีจีน เข้ามาลงทุนในสหรัฐอเมริการวมกันถึง 1.49 ล้านล้านบาท ในปี 2016
ก่อนที่ “สงครามการค้า” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้ยอดการลงทุนของชาวจีนในปี 2017-2018 ลดลง
ในปี 2017 มีเม็ดเงินลงทุนจากเศรษฐีจีนในสหรัฐเหลือ 940,000 ล้านบาท
และครึ่งปีแรกของปี 2018 คาดว่าตัวเลขเหลือเพียง 60,000 ล้านบาทเท่านั้น
ตัวอย่างของนักลงทุนชาวจีน สามารถดูได้ผ่าน Pony Ma เจ้าของธุรกิจ Tencent
หลังบริษัทเติบโตจากธุรกิจเกมออนไลน์ โปรแกรมแชท และแอพพลิเคชั่นจากตลาดในประเทศ
ก็เริ่มนำเม็ดเงินเข้าไปลงทุนในธุรกิจด้านเทคโนโลยีต่างๆ รอบโลก
โดยเฉพาะธุรกิจเกม ซึ่งเป็นธุรกิจทำเงินหลักของ Tencent มีการไปลงทุนค่ายเกมใหญ่ทุกค่ายทั่วโลก
ทั้ง Riot Games, Epic Games, Ubisoft หรือ Blizzard
รวมถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และเว็บไซต์ในประเทศต่างๆ
ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็ Sanook เว็บไซต์ที่มีคนเข้ามากที่สุดในไทย
หรือ Shopee เว็บไซต์ซื้อขายของชื่อดัง ก็เป็นของบริษัทลูกด้วยเช่นกัน
นอกจากนั้นยังมีการลงทุนในบริษัทใหญ่ในตลาดหุ้นอเมริกา
อย่างเช่น Snap เจ้าของแอพ Snapchat
หรือค่ายรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ที่เรารู้จักกันดี ก็ถือหุ้นไว้ประมาณ 5% คิดเป็นมูลค่าถึง 55,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้…??
หากมองให้เป็นวิกฤต การเติบโตของจีน จะทำให้หลายธุรกิจที่ไม่เคยสนใจจีนต้องปรับตัว
และเอาใจลูกค้าจากทางฝั่งจีน ที่มีศักยภาพในการซื้อมากขึ้น
หากปรับไม่ทัน ยังคงรับแต่ลูกค้าเดิม ซึ่งมีศักยภาพในการซื้อน้อยลง แล้วปฏิเสธตลาดใหม่
นั่นคือการเสียโอกาส หรือถึงขั้นทำให้ธุรกิจนั้นจะอยู่ไม่รอด…
หากมองให้เป็นโอกาส จีนมีประชากรกว่า 1,300 ล้านคน นับเป็นตลาดบริโภคที่ใหญ่มาก
ถ้าคนเหล่านั้นรวยขึ้น แสดงว่าย่อมมากับความต้องการสินค้าที่มากขึ้น
เดิมที่คนไทยจะคุ้นชินการนำสินค้าราคาถูกจากจีนมาขายในไทย ถึงขั้นมีทัวร์เลือกของถูกมาขายโดยเฉพาะ
แต่ในไม่ช้า นี่อาจจะเป็นตลาดใหม่ที่ไทย สามารถนำสินค้าส่งไปขายเพื่อสร้างรายได้อย่างงดงามเช่นกัน
อะไรที่เรามี แล้วจีนไม่มี?? อะไรที่จีนทำไม่ได้?? อะไรที่คนจีนต้องการ??
ถ้าหามันเจอ อาจจะเป็นขุมทรัพย์สู่ความสำเร็จในอีกหลายสิบปีข้างหน้าก็เป็นได้….
ติดตาม Billionaire Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง
– เริ่มจากช่องทางใหม่ล่าสุด อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionairethai/
– ตามต่อในทวิตเตอร์ https://twitter.com/BillionaireThai
– ถ้าเล่นแต่ไลน์ ก็ส่งบทความให้คุณทุกวันที่ @BillionaireMindset
– ติดตามเพจ Billionaire Mindset – แนวคิดพันล้าน อย่าลืมตั้งค่า See First เพื่อไม่ให้พลาดทุกโพสต์ใหม่นะครับ!!
ที่มา:
https://money.cnn.com/2018/09/06/investing/world-richest-people-cities/
https://www.businessinsider.com/china-leading-in-ubs-billionaire-report-2018-10
https://money.cnn.com/2018/06/20/investing/chinese-investment-united-states-falls/index.html
www.fool.com/investing/2018/02/13/tencent-owns-stakes-in-these-4-us-companies.aspx
www.cnbc.com/2017/03/28/messaging-app-parent-tencent-takes-stake-in-tesla.html
Advertisement