Facebook
Twitter
LINE

ล่าสุด Tony Woodsome หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “ทักษิณ ชินวัตร” ได้มาร่วมพูดคุยถึงแนวคิดด้านต่างๆ ผ่านทางแอป Clubhouse อีกครั้ง

การพูดคุยนั้นมีหลายประเด็น ทั้งการทำธุรกิจ แนวคิดทางด้านการบริหาร หรือกระทั่งการเมือง

แต่มีประเด็นหนึ่งที่หลายคนอาจจะมองข้าม แต่ทางเราคิดว่าเป็นเรื่องน่าสนใจมากๆ อย่างเรื่องของ “การเขาซื้อสโมสรฟุตบอล”

เรื่องนั้นน่าสนใจแค่ไหนในแง่ของการลงทุน มาติดตามกันได้เลยครับ..

 

เราอาจจะเคยได้ยินข่าวเมื่อสิบกว่าปีก่อน ว่าอดีตนายกรัฐมนตรีไทย เข้าซื้อทีมฟุตบอลในประเทศอังกฤษ

เรื่องดังกล่าวกลายเป็นกระแสฮือฮาอยู่สักพักหนึ่ง แต่ภายหลังก็ต้องขายทีมออกไป ข่าวของเขาจึงค่อยๆ ซาลง

แต่คุณอาจจะไม่รู้ว่า นั่นคือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดครั้งหนึ่งของ Tony Woodsome เพราะถ้าเปรียบเทียบกับการลงทุนแล้ว มันให้ผลตอบแทนเหมือนกับการเจอหุ้น 5 เด้ง ในตลาดหุ้นเลยทีเดียว!!

 

ย้อนกลับไปในปี 2007 หลังจากไม่ได้อยู่เมืองไทยแล้ว Tony Woodsome มีความต้องการจะซื้อสโมสรฟุตบอลสักแห่ง (ซึ่งเป็นความตั้งใจตั้งแต่สมัยยังเป็นตำแหน่งนายกฯ อยู่)

เขาเข้าไปเจรจากับทีมฟุตบอลในอังกฤษหลายทีม แน่นอนว่าแต่ละทีมย่อมมีขนาดที่ต่างกัน ทำผลงานได้ไม่เหมือนกัน ทำให้ราคาซื้อขายย่อมต่างกันไปด้วย

 

แล้วทำไม Tony จึงมองว่าทีมฟุตบอล Manchester City นั้นน่าสนใจ?

สาเหตุโดยรวมก็เพราะเขามองว่า..

– แม้ทีมจะขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างลีกสูงสุดของอังกฤษ กับลีกระดับล่างอยู่บ่อยครั้ง แต่ช่วงหลังจากปี 2003 เป็นต้นมา ทีมไม่เคยตกชั้นอีกเลย

– ทีมเพิ่งย้ายจากสนาม Maine Road มายัง City of Manchester Stadium สนามกีฬาขนาดใหญ่ของเมือง พร้อมสัญญาเช่า 250 ปี!!

– ในใจกลางเมือง Manchester นั้น สโมสร Manchester City มีแฟนฟุตบอลมากกว่าทีมร่วมเมืองอย่าง Manchester United ซึ่งรายหลังนั้นมีแฟนบอลในระดับโลกมากกว่า

– ราคาที่ Tony ต้องจ่ายเพื่อซื้อหุ้นทั้งหมดของสโมสร อยู่ที่ราวๆ 980 ล้านบาท ซึ่งถูกกว่านักฟุตบอลคนเดียวที่แพงที่สุดในยุคนั้นถึงครึ่งหนึ่ง แต่กลับได้มาทั้งสโมสรเลย

 

เขาได้กล่าวถึงการตัดสินใจเอาไว้ว่า..

“วิธีการของผมก็คือไปคุยกับหลายเจ้า และดูฐานแฟนบอลพันธุ์แท้ของทีมต่างๆ โดย Manchester City มีสนามที่ดีอยู่แล้ว

สิ่งที่เราทำเลยไม่ยากมาก แค่ไปหาซื้อนักเตะ หาโค้ชที่ดีมาจัดการ ก็เลยตัดสินใจที่จะซื้อทีมฟุตบอลนี้”

 

ในตอนนั้น สโมสรฟุตบอล Manchester City มีลักษณะเหมือนบริษัทในตลาดหุ้น ที่มีผู้ถือหุ้นรายย่อยนับพันๆ คน

เพราะฉะนั้นในปี 2007 ลุง Tony เลยตั้งบริษัท UK Sports Investments Limited หรือชื่อย่อๆ ว่า UKSIL แล้วค่อยๆ ทำการกว้านซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นทั้งหมด

ในเดือนกรกฎาคมปีนั้น เขาได้หุ้น 75% ของสโมสร จึงตัดสินใจนำสโมสรออกจากตลาดหุ้น กลายมาเป็นบริษัทจำกัดอีกครั้ง

ถัดมาในเดือนกันยายน เขาก็ทำการซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ จนหมด และกลายเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลอังกฤษแห่งนี้ไปในที่สุด

 

ก่อนที่เราจะพูดถึงการประสบความสำเร็จในเชิงธุรกิจ เรามาเริ่มที่ความสำเร็จในเชิงฟุตบอลก่อน

ฤดูกาลก่อนที่ Tony จะเข้าซื้อทีมนั้น สโมสร Manchester City จบอันดับที่ 14 จากทั้งหมด 20 ทีมในพรีเมียร์ลีกอังกฤษ

ทีมเลยทำการ “ผ่าตัด” เพื่อยกระดับให้สามารถก้าวไปสู้กับทีมอื่นๆ ได้

เริ่มจากการแต่งตั้ง Sven-Göran Eriksson ผู้จัดการทีมที่มีดีกรีเคยคุมทีมชาติอังกฤษ มาวางแผนการเล่นใหม่

ซื้อนักฟุตบอลเข้ามายกระดับทีม ยกตัวอย่างเช่น

Martin Petrov กองกลางบัลแกเรีย ราคา 200 ล้านบาท

Rolando Bianchi กองหน้าชาวอิตาลี ราคา 370 ล้านบาท

ที่สำคัญคือ Elano นักฟุตบอลชาวบราซิล มูลค่า 300 ล้านบาท ซึ่งกลายมาเป็นคนยิงประตูมากที่สุดในปีนั้น 10 ประตู

และเชื่อหรือไม่ว่าเพียงแค่ปีเดียว ทีม Manchester City ก็สามารถทำอันดับเลขตัวเดียวได้ โดยจบฤดูกาลด้วยอันดับ 9 จากทั้งหมด 20 ทีม

 

ความเปลี่ยนแปลงมาถึงอีกครั้ง เมื่อ Tony จำเป็นต้องขายทีม

เนื่องจากกฎของฟุตบอลอังกฤษ ห้ามคนที่มีคดีความเป็นเจ้าของสโมสร รวมถึงคดีความทางการเมืองซึ่งตอนนั้น Tony กำลังโดนอยู่ในเมืองไทยด้วย

ในปี 2008 ที่กำลังมีคดีนั้น Tony จึงถูกบีบให้ขายทีม และจำเป็นต้องหาเจ้าของใหม่มารับช่วงต่อ

แต่อาจจะด้วยทั้งทักษะด้านธุรกิจ หรือด้วยการวางรากฐานที่ดี ทำให้ทีมมีอนาคตที่ดีและน่าสนใจมากขึ้น จึงมีกลุ่มทุนหลายแห่งอยากจะเข้ามาเป็นเจ้าของ

ในที่สุด เขาก็สามารถขายทีมให้กับกลุ่มทุนที่พอจะรู้จักกันอย่าง Abu Dhabi United Group Investment and Development ซึ่งเป็นของ Sheikh Mansour แห่งราชวงศ์อาบูดาบี ของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ที่น่าสนใจคือมูลค่าตอนขายต่อ เพราะถึงแม้จะเป็นการถูกบีบให้ขายทีม ซึ่งผู้ซื้อย่อมรู้ดีกว่าผู้ขาย จำเป็นต้องขาย และอาจจะทำให้ถูกกดราคาต่ำลง

แต่สิ่งที่ Tony รู้ในตอนนั้นก็คือ Sheikh Mansour  เองก็อยากจะเป็นเจ้าของสโมสรฟุตบอลอยู่แล้ว และมีความ “สนใจซื้อ” ไม่น้อยไปกว่าความอยากขายของตัวเอง

เขาอยากจะมีทีมฟุตบอลสักทีม ที่คุ้มค่าแก่การจ่ายในระดับที่ไม่ขูดเลือดเนื้อเกินไป และพร้อมพัฒนาไปสู่ระดับโลกให้ได้

เมื่อความต้องการมาเจอกันพอดี จากต้นทุนราวๆ 980 ล้านบาท ลุง Tony สามารถเจรจาขายทีมได้กว่า 6,000 ล้านบาท

ซึ่งพอหักลบกันแล้ว รวมค่าใช้จ่ายต่างๆ ของสโมสรฟุตบอลตอนที่บริหารไปด้วย เราก็ประมาณคร่าวๆ ว่าการเข้าซื้อทีมในปีเดียว เขาสามารถทำกำไรไปได้ถึง 4,000 ล้านบาท!!

 

และคุณอาจจะไม่รู้ว่า ตั้งแต่ที่ Sheikh Mansour ซื้อสโมสรต่อมานั้น เขาก็สามารทุ่มทุนพัฒนาจากสโมสรระดับกลางๆ ในอังกฤษ ให้กลายมาเป็นทีมฟุตบอลแถวหน้าของโลก

ทางฟอร์บส์ประเมินเอาไว้ว่า ตอนนี้มูลค่าของ Manchester City นั้นสูงถึง 82,000 ล้านบาท สูงเป็นอันดับ 5 ของโลก

เป็นรองเพียงแค่ Real Madrid, Barcelona, Manchester United และ Bayern Munich เท่านั้น!!

 

กลายเป็นว่า ผลลัพธ์จากการลงทุนครั้งนั้น ส่งผลแบบ Win-Win-Win กันทุกฝ่าย

Tony Woodsome นอกจากจะได้กำไรไปหลายเท่า นำเงินไปลงทุนต่อได้แล้ว ยังได้ยกระดับตัวเองในฐานะนักธุรกิจระดับโลก ให้คนรู้จักมากยิ่งขึ้น

Sheikh Mansour กลายเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลสมใจ และยังคงทุ่มเทให้กับการพัฒนาทีม รวมถึงพื้นที่ในเมือง Manchester อยู่ตลอด

และ Manchester City ที่ได้ยกระดับกลายมาเป็นสโมสรฟุตบอลชั้นนำระดับโลก ได้ในปัจจุบัน..

 

 

ร่วมแสดงความคิดเห็นที่

Advertisement

แสดงความคิดเห็น...