Facebook
Twitter
LINE

 

เคยจองโรงแรมออนไลน์กันรึเปล่าครับ!? ปกติแล้วจะใช้งานเว็บอะไรกันระหว่าง Booking.com หรือ Agoda

บ้างก็บอกว่าเว็บนี้ดีกว่า เพราะจองง่าย ไม่ต้องจ่ายทันที บ้างก็ชอบอีกเว็บมากกว่าเพราะราคาถูก มีที่พักให้เลือกเยอะ

แต่ต่อให้คุณจองเว็บไหน สุดท้ายผลกำไรก็จะไปยังบริษัทแม่ที่ชื่อว่า Booking Holdings Inc. อยู่ดี

เพจแนวคิดพันล้าน จะพาย้อนดูประวัติของธุรกิจนายหน้าจองโรงแรมที่ใหญ่ที่สุดในโลกยุคปัจจุบันนี้ ให้คุณได้รู้จักกันมากขึ้นครับ…

 

การก่อตั้งธุรกิจจองโรงแรมออนไลน์

– หลังจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลในปี 1978 นั้น Jay S. Walker ก็ริเริ่มทำธุรกิจของตัวเองหลายอย่าง

– แต่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคือการก่อตั้ง Priceline.com เว็บไซต์ให้บริการจองโรงแรมขึ้นในปี 1997

– ด้วยความที่เป็นเจ้าใหม่ๆ ในยุคนั้น พร้อมกับการเสนอบริการอันเป็นเอกลักษณ์ ให้กลุ่มลูกค้าประมูลเลือกราคาที่พวกเขาพอใจจะจ่าย ส่วนทางโรงแรมเป็นคนตัดสินใจว่าจะขายห้องพักที่ราคาเท่าไร

– เพียงแค่ไตรมาสแรกของการเปิดตัว Priceline ขายตั๋วจองที่พักไปได้กว่า 40,000 ใบ

– หลังจากประสบความสำเร็จ เพียงแค่ 2 ปีหลังเปิดตัว บริษัทก็เข้าซื้อขายในตลาดหุ้นในปี 1999

– ประกอบกับฟองสบู่ดอทคอมในช่วงนั้น หุ้นของ Priceline ที่ซื้อขายในราคา 400 เหรียญ เพิ่มขึ้นไปสูงถึง 800 เหรียญภายในเวลาเดือนเดียว

– วิกฤตฟองสบู่ดอทคอมในช่วงปี 2000 ส่งผลให้จากราคาหุ้น 800 เหรียญ ลดต่ำลงมาซื้อขายกันเพียง 10 เหรียญเท่านั้นเอง

– ในช่วงปลายปี 2000  Jay S. Walker  ตัดสินใจลาออกจาก Priceline

 

จากยักษ์ล้ม กลับมาเป็นยักษ์ใหญ่ที่แท้จริงอีกครั้ง

– Jeffery Boyd เข้ามาเป็นซีอีโอของ Priceline ในปี 2002

– เขามองเห็นถึงโอกาสของความสำเร็จในธุรกิจจองโรงแรมออนไลน์ ว่ายังเติบโตได้อีกมาก แต่ก็มีคู่แข่งมากพอควร ดังนั้นบริษัทต้องทำตัวเป็นเจ้าตลาดให้ได้เสียก่อน

– เริ่มจากการเข้าซื้อ Booking.com เว็บไซต์นายหน้าจองโรงแรม ในปี 2005

– ซื้อ Agoda ในปี 2007

– เมื่อมีโรงแรม แล้วก็ต้องมีการเช่ารถ พวกเขาเข้าซื้อ Rentalcars.com ในปี 2010

– การเติบโตของ Kayak.com เว็บไซต์เปรียบเทียบราคาโรงแรม-ตั๋วเครื่องบิน อาจจะกลายมาเป็นคู่แข่งได้ พวกเขาก็ซื้อเข้ามาเป็นของตัวเองในปี 2013

– เมื่อมีที่พัก ตั๋วเครื่องบิน รถเช่า ต่อไปก็ของกิน นั่นทำให้มีการเข้าซื้อเว็บไซต์จองร้านอาหาร OpenTable ในปี 2014

– ในปี 2014 บริษัทก็ได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น The Priceline Group Inc. อย่างเป็นทางการ

– หลังจากนั้นก็ยังดำเนินนโยบายเข้าซื้อกิจการต่างๆ ทั้ง Hotel Ninjas ระบบช่วยจัดการโรงแรม, Rocketmiles เว็บจองโรงแรมที่มีแต้มสายการบินให้ หรือ DiDi แอพแชร์รถยนต์ในจีน

– จนกระทั่งล่าสุดในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2018  บริษัทก็เปลี่ยนชื่ออีกครั้งเป็น Booking Holdings Inc.

 

Booking Holdings ในปัจจุบัน ยิ่งใหญ่มากแค่ไหน!?

ในปี 2017 กลุ่มบริษัท Booking ทำรายได้ 405,000 ล้านบาท มีกำไร 74,000 ล้านบาท

บริษัทมีสำนักงานอยู่ทั่วโลก จ้างพนักงานกว่า 22,900 คน

 

คู่แข่งของ Booking!?

พอพูดถึง Booking ก็ต้องเปรียบเทียบกับคู่แข่งหลักที่เราคุ้นชื่อกันอย่าง ExpediaGroup ซึ่งทำธุรกิจในแบบที่ใกล้เคียงกันมาก

Expedia ก็เป็นธุรกิจจองโรงแรม-ตั๋วเครื่องบิน แถมยังมีธุรกิจลูกอีกมากมายไม่แพ้กัน

ที่ชื่อดังหน่อยก็เช่น CarRentals.com, CheapTickets, Hotels.com และ TrivaGo

 

ปี 2017 Expedia Group ทำรายได้ 321,000 ล้านบาท มีกำไร 12,064 ล้านบาท

เทียบกันจะพบว่า Booking ยังทำรายได้มากกว่า และมีสัดส่วนกำไรที่ดีกว่าทาง Expedia อีกด้วย

 

หลังจากเทียบกับบริษัทจองโรงแรมด้วยกันแล้ว เราลองไปเทียบกับธุรกิจโรงแรมกันดูบ้างดีไหม!?

ธุรกิจโรงแรมที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดอย่างเครือ Marriott  เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักกันดีนะครับ

Marriott มีเครือข่ายโรงแรม ทั้งแบรนด์ตัวเองและแบรนด์ลูกมากกว่า 30 แบรนด์ ตั้งอยู่ใน 127 ประเทศทั่วโลก

ซึ่งถ้านับรวมที่พักในเครือแล้ว จะมีมากถึง 6,500 แห่ง ห้องพักรวม 1.2 ล้านห้องเลยทีเดียว

ในปี 2017 เครือ Marriott มีรายได้ประมาณ 732,000 ล้านบาท ทำกำไรได้ 43,000 ล้านบาท

 

ธุรกิจ Marriott ทำรายได้มากกว่า Booking ประมาณ 300,000 ล้านบาท

แต่เมื่อคิดถึงกำไรแล้ว ทาง Booking มีกำไรที่มากกว่าเสียด้วย

 

(ซึ่งแน่นอนว่าเราเทียบกันตรงๆ เป๊ะๆ ก็คงไม่ได้ เพราะกลุ่มธุรกิจเป็นคนละรูปแบบ และเครือ Marriott ก็คือเครือโรงแรมที่ถือว่าประสบความสำเร็จมากที่สุดแบรนด์หนึ่ง การยกตรงนี้มาเพื่อทำให้พอเห็นภาพเท่านั้นครับ)

 

ในขณะที่ Booking ไม่มีโรงแรมเป็นของตัวเอง แต่พวกเขามีโรงแรมในระบบมากกว่า 2 ล้านแห่ง

มีการจองโรงแรมผ่าน Booking ในปีล่าสุดมากถึง 673 ล้านคืน

มีการเช่ารถยนต์ใช้งานผ่านระบบ มากถึง 73 ล้านวันในปีล่าสุด

รวมถึงการใช้บริการจองตั๋วเครื่องบินผ่านเว็บไซต์ในเครือ 6.9 ล้านใบ

รายได้ของบริษัท 93% มาจากค่าคอมมิชชันในการจองที่พัก และราว 7% มาจากค่าโฆษณา

นั่นหมายความว่า พวกเขาไม่ได้ทำแค่ระบบจองที่พักอย่างเดียว แต่เมื่อเว็บไซต์มีคนมาใช้งานเยอะมาก พวกเขาก็สามารถเปลี่ยนมันเป็นพื้นที่ให้ธุรกิจมาโปรโมทได้เช่นกัน

คิดเป็นตัวเลขค่าโฆษณาสูงถึง 28,000 ล้านบาทต่อปี

 

โลกออนไลน์ เติบโตขึ้นพร้อมกับโอกาสของธุรกิจใหม่ๆ มากมาย อย่างที่คุณ Jay Walker มองเห็นมันตั้งแต่ 20 ปีก่อน

Booking Holdings คือตัวอย่างหนึ่งของความสำเร็จของธุรกิจออนไลน์ ซึ่งทำหน้าที่เป็น “นายหน้า” โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีโปรดักส์นั้นเอง

ลองคิดกันดูสิครับว่าในยุคนี้ยังมีธุรกิจรูปแบบ “นายหน้า” อะไรบ้างที่ยังพอมีโอกาสให้คุณทำได้ในยุคนี้

ถ้าคุณหามันเจอก่อน เข้าไปทำก่อน โอกาสสำเร็จก็ย่อมมีมากกว่าคนมาทำทีหลังแน่นอน…

 

ที่มา:

fortune.com/2012/09/11/how-jeffery-boyd-took-priceline-from-dot-bomb-to-highflier/

http://ir.bookingholdings.com/

https://marriott.gcs-web.com/static-files/b82978a6-9d28-4e38-9855-fc4ae2cebe11

http://ir.expediagroup.com/financial-information/annual-reports

https://en.wikipedia.org/wiki/Jay_S._Walker

Advertisement

แสดงความคิดเห็น...