เงินในธนาคารหายไปแสนล้าน ธนาคารล้มละลาย 9,000 แห่ง
คนจนลงทันทีทั่วประเทศ รายได้ลดลงจากเดิมไปครึ่งต่อครึ่ง
เศรษฐกิจหยุดชะงัก และถดถอยหลังจากนั้นไปอีกหลายปี
บทความนี้จะสรุปให้เข้าใจว่า “ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรุนแรงที่สุด The Great Depression” คืออะไร!? และเกิดอะไรขึ้นบ้างในช่วงนั้น!?
วันอังคารที่ 29 ตุลาคม 1929 กลายเป็นฝันร้ายของใครหลายคน
เมื่อดัชนีหุ้นดาวโจนส์ ปรับตัวลดลงไป -12% ภายในวันเดียว
คิดเล่นๆ ว่าจากหุ้นมูลค่า 1 ล้านบาทที่คุณมีอยู่เมื่อเช้า ตอนนี้เหลือมูลค่าเพียง 700,000 บาทแล้ว
ตัวเลขนี้อาจจะฟังดูไม่ร้ายแรง แต่มันคือจุดเริ่มต้นของวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดครั้งหนึ่งของโลก
และทำให้ผู้คนตั้งชื่อมันว่า Black Tuesday วันอังคารแห่งความมืดมิด..
1. ความฟุ้งเฟ้อ ที่นำไปสู่วิกฤติครั้งใหญ่..
ย้อนกลับไปในตอนที่แล้ว สงครามโลกครั้งที่ 1 จบลงในปี 1918 ซึ่งมันก็สร้างความบอบช้ำให้เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาไม่น้อย
ประเทศนี้ต้องใช้เวลา 3 ปี ถึงจะเริ่มฟื้นฟูและเดินหน้าเศรษฐกิจได้ใหม่อีกครั้ง มันก็คือจุดเริ่มต้นของความรุ่งเรืองครั้งใหม่
ประชาชนชาวอเมริกัน เริ่มนิยมการซื้อของแบบ “เงินกู้” ซื้อก่อน ผ่อนทีหลัง นั่นทำให้เกิดปริมาณการบริโภคที่สูงขึ้นในทุกด้าน
ทั้งที่อยู่อาศัย รถยนต์ เงิน อาหาร ความสะดวกสบาย ประชาชนล้วนต้องการทุกอย่างเพิ่มมากขึ้น
ในยุคสมัยนั้นไม่มีใครเข้าใจความหมายของคำว่า “ผ่อนเกินกำลัง”
ถ้าเรามีเงินเดือน 20,000 บาท การจะต้องผ่อนค่าใช้จ่ายต่างๆ เดือนละ 20,000 บาท ก็ไม่เห็นผิดอะไร เพราะมันไม่ได้เกินกว่าเงินเดือนของเรานี่!?
โรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ กลับมาเปิดอีกครั้ง มีการจ้างงานที่เพิ่มมากขึ้น เพื่อมาตอบสนองความต้องการสินค้าของภาคประชาชนที่สูงขึ้น
ความรุ่งเรืองครั้งนี้ แสดงออกมาผ่านทางตลาดหุ้นของสหรัฐฯ ได้อย่างชัดเจน
ตั้งแต่ปี 1921 จนถึง 1929 ดัชนีดาวน์โจนส์เพิ่มขึ้นจาก 63 จุด ไปจำจุดสูงสุดที่ 381 จุด
เป็นการเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้น 6 เท่า ภายในเวลาเพียง 8 ปี นั่นคือเรื่องที่มหัศจรรย์มาก
แต่หากมองในอีกมุมหนึ่ง นั่นก็คือ “ฟองสบู่” ก้อนโตที่กำลังรอวันระเบิด…
2. วันอังคารอันแสนเศร้า
ไม่ใช่เพียงบ้านหรือรถ ที่ผู้คนนิยมซื้อด้วยการกู้ แต่รวมไปถึง “หุ้น” ด้วยเช่นกัน
ระบบ Margin ได้รับความนิยมอย่างมาก แทนที่เราจะซื้อหุ้นด้วยเงินทั้งหมดที่มี ผู้คนสามารถใช้เงินเพียง 10% เพื่อครอบครองหุ้น
พอหุ้นขึ้นก็ขาย ได้กำไร นำมาจ่ายดอกเบี้ยให้กับโบรกเกอร์ แล้วก็หมุนไปซื้อหุ้นตัวอื่นๆ ต่อไป เพราะยังไงตลาดหุ้นมันก็ไม่ปรับตัวลงหรอก มันขึ้นมาตั้งหลายปีแล้วนี่
(คุ้นๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนช่วงวิกฤติต้มยำกุ้ง ของบ้านเรารึเปล่าครับ!?)
วันพฤหัสที่ 24 ตุลาคม 1929 ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง 11% หลายคนขาดทุนและต้องออกจากตลาดไป ขณะที่หลายคนยังมองว่ามันเป็นการปรับตัวลดลงปกติ
วันหยุดเสาร์อาทิตย์ ในช่วงสุดสัปดาห์นั้น นักเล่นหุ้นทั้งหลายต่างติดตามข่าวด้วยความกังวลว่า ตลาดหุ้นจะแย่ไปกว่านี้หรือไม่!?
จนกระทั่งเปิดตลาดวันจันทร์ที่ 28 ตุลาคม 1929 ดัชนีดาวโจน์ปรับตัวลดลงไปอีก 13% ตอนนี้คนแพนิครีบเทขายตามไปเพื่อเอาตัวรอดมีมากยิ่งขึ้น
เมื่อวันอังคารที่มืดมิดมาถึง ตลาดหุ้นยังปรับตัวลดลงไป 12% ภายในวันเดียว ฟองสบู่ที่สะสมอัดอั้นมานานหลายปี ก็แตกออก
และนั่นคือการระเบิดครั้งใหญ่ ที่ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่ไปทุกสถาบันการเงิน ซึ่งจะสรุปเป็นข้อๆ ได้ดังนี้…
– ช่วงตลาดหุ้นเป็นขาขึ้น ทั้งธนาคารและโบรกเกอร์ต่างปล่อยให้ลูกค้าหยิบยืมเงินไปเล่นหุ้น โดยไม่มีการตรวจสอบคัดกรองอย่างเข้มงวด
– เมื่อตลาดหุ้นตกอย่างรวดเร็ว คนก็ถูกบังคับให้ขายหุ้น เสียเงินตรงนั้นไม่พอ ยังต้องกลายเป็นหนี้ หาเงินมาชำระคืนอีก
– พอหาเงินคืนไม่ได้ ก็เกิดการเบี้ยวหนี้ กลายเป็นหนี้เสียจำนวนมหาศาล กระทบมาถึงสถาบันการเงินที่เป็นคนปล่อยกู้ในทีแรก
– มีข่าวลือว่าธนาคารขาดสภาพคล่อง พอเกิดข่าวแบบนี้ คนก็แห่มาถอนเงินที่ตัวเองฝากไว้ เพราะกลัวว่าจะไม่ได้เงินคืน ซึ่งนั่นยิ่งเป็นการซ้ำเติมให้วิกฤติเลวร้ายลงกว่าเดิม
– พอธนาคารโดนแห่ตอนเงินออก ก็กลายเป็นว่าขาดสภาพคล่องจริงๆ ทำให้เฉพาะในปี 1930 นั้น มีธนาคารกว่า 800 แห่งล้มละลาย
ซ้ำร้ายไปอีกก็คือ ในช่วง 10 ปีหลังจากนั้น มีธนาคารทั้งเล็กและใหญ่ที่ล้มละลายไปถึง 9,000 แห่ง
3. ผลกระทบจาก The Great Depression
การที่ธนาคารล้มลงไปนั้น ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังภาคเศรษฐกิจของประเทศในทันที
– ผู้คนสูญเสียเงินฝากอย่างน้อย 200 ล้านเหรียญ ซึ่งถ้าคิดตามอัตราเงินเฟ้อ ในยุคนี้จะเท่ากับเงิน 3,700 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 120,000 ล้านบาท ที่หายวับไปในอากาศ!!
– คนไม่กล้าใช้เงิน ไม่มีการจับจ่ายใช้สอย ส่งผลให้สินค้าขายไม่ได้เหมือนเคย ภาคการผลิตต้องเลิกจ้าง โรงงานทยอยปิดตัวลง
– ในช่วงเวลา 4 ปี ตั้งแต่ 1929-1932 รายได้ประชาชาติของชาวอเมริกัน ลดลงจากปีละ 850 เหรียญ เหลือเพียง 450 เหรียญ
(พูดง่ายๆ ว่ารายได้เฉลี่ยของประชากรทั้งประเทศลดลงไปครึ่งหนึ่ง ซึ่งแม้แต่ประเทศไทยก็ยังไม่เคยเผชิญภาวะแบบนี้มาก่อน)
– ช่วงเวลาเดียวกับข้อด้านบน ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนติดลบ 4 ปีติดต่อกัน 17%, -34%, -53% และ 23% ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และก็ยังไม่เคยเกิดขึ้นอีกมาจนถึงปัจจุบัน
– จากประชากร 120 ล้านคน มีคนว่างงานถึง 20 ล้านคน ซึ่งสูงถึง 16% ของประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มคนผิวสี ซึ่งกว่าครึ่งหนึ่งไม่สามารถหางานทำได้ กลายเป็นปัญหาทางสังคมตามมา
– ไม่ใช่เฉพาะในสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ชาวอเมริกันเองก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของชาติยุโรป เมื่อคนอเมริกันบริโภคน้อยลง ผลผลิตและสินค้าในยุโรปก็ไม่มีที่ระบาย เกิดปัญหาสินค้าราคาตกต่ำ และนำไปสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในยุโรปตามมา
– โดยเฉพาะในเยอรมนี ซึ่งนอกจากจะต้องจ่ายค่าหนี้สงครามแล้ว ยังมีหนี้เงินกู้ทั่วไปอีกด้วย และเมื่อรัฐบาลไม่สามารถจัดการกับปัญหาหนี้สินได้
จึงเป็นการเปิดทางให้เปลี่ยนขั้วอำนาจไปยัง พรรคแรงงานสังคมนิยมแห่งชาติเยอรมัน หรือที่รู้จักกันในชื่อพรรคนาซี ซึ่งมี Adolf Hitler เป็นผู้นำในท้ายที่สุด
4. การฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจ
หลายคนมองว่าปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ค่อยฟื้นตัวขึ้นมาได้ ก็คือการก้าวขึ้นมารับตำแหน่งของประธานาธิบดี Franklin Roosevelt ในปี 1933
Roosevelt มาพร้อมกับนโยบายโปรยเงินลงไปกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านโครงการต่างๆ ที่มีมากถึง 1 ล้านโครงการทั่วประเทศ
นโยบายโปรยเงินลงไปนี้ มีทั้งการก่อสร้างโครงการใหญ่ การแจกเงินชนชั้นล่าง การเสริมทักษะให้แรงงาน การรับซื้อพืชผลการเกษตร การกำหนดค่าแรงขั้นต่ำ เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าอีกครั้ง
ที่สำคัญก็คือ การปรับโครงสร้างธนาคาร เยียวยาธนาคารขนาดใหญ่ที่มีมาตรฐาน พร้อมกับยุบธนาคารขนาดเล็ก เพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้คนเชื่อมั่นใน “ระบบธนาคาร” อีกครั้ง
เมื่อมีความเชื่อมั่น ระบบการเงินก็เริ่มกลับมาทำงานได้ และเศรษฐกิจก็จะเริ่มเดินหน้าได้อีกครั้ง
ซึ่งกระบวนการดังกล่าวต้องใช้เวลาถึง 8 ปี กว่าที่เศรษฐกิจสหรัฐจะค่อยๆ ฟื้น จนเริ่มตั้งตัวได้ในปี 1941 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เกิดสงครามครั้งใหม่พอดี
อันที่จริง แม้จะบอกว่าเศรษฐกิจกำลังเริ่มตั้งตัวได้ แต่ความจริงทางประวัติศาสตร์ ก็ยืนยันอย่างชัดเจนว่า..
กว่า “เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา” กลับมาฟื้นโดยสมบูรณ์อีกครั้ง ก็ต้องรอหลังจบสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทำให้พญาอินทรีรายนี้ ก้าวมาเป็นมหาอำนาจของโลกอย่างเต็มตัว
เกิดอะไรขึ้นบ้างในวิกฤติสงครามโลกครั้งที่ 2!? และการฟื้นตัวหลังจากนั้นเป็นอย่างไร!?
คอยติดตามอ่านกันได้ในตอนที่สาม ของซีรีส์ “วิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ 100 ปี” สัปดาห์หน้านะครับ..
สำหรับบทความที่อ่านจบไปนี้ เป็นส่วนหนึ่งของซีรีส์ “วิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ 100 ปี” ซึ่งจะเล่าเรื่องราววิกฤติที่น่าสนใจ 7 ครั้งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงปี 1900 มาจนถึงยุคปัจจุบัน
ใครที่สนใจ ก็สามารถติดตามอ่านทาง Billion Mindset – แนวคิดพันล้าน ได้ทุกสัปดาห์นะครับ ซึ่งจะทยอยลงจนครบทั้งหมด 7 ตอน
เพื่อไม่ให้พลาดคอนเทนต์ใหม่ อย่าลืม กด Like 👍 และตั้งค่าติดดาว See First 🌟 ด้วยนะครับ
ธนาคารล้มละลาย 9,000 แห่ง เงินฝากประชาชนหายไปนับแสนล้านรายได้ผู้คนลดลงจากเดิมไปครึ่งต่อครึ่ง…
โพสต์โดย Billion Mindset – แนวคิดพันล้าน เมื่อ วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2020
ติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง
– เริ่มจากช่องทางใหม่ล่าสุด อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/
– ตามต่อในทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit
– ติดตามเพจ Billion Mindset – แนวคิดพันล้าน อย่าลืมตั้งค่า See First เพื่อไม่ให้พลาดทุกโพสต์ใหม่นะครับ!!
ที่มา:
https://www.history.com/topics/great-depression/bank-run
https://livinghistoryfarm.org/farminginthe30s/money_08.html
https://jobs.lovetoknow.com/Unemployment_During_the_Great_Depression
https://www.thebalance.com/black-tuesday-definition-cause-kickoff-to-depression-3305819
https://en.wikipedia.org/wiki/Wall_Street_Crash_of_1929
http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AroundTheWorld/hist/40.htm
https://medium.com/@Trader4.0/
Advertisement