นับตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา หลังวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอเกอร์
ตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาก็พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดมาโดยต่อเนื่อง
สร้างความร่ำรวยให้กับทั้งบริษัทที่จดทะเบียน และนักลงทุนในตลาดด้วยเช่นกัน
หากเรามองย้อนหลังไปเพียง 5 ปีก่อน
ดัชนี S&P500 อยู่ที่ประมาณ 1,690 จุด
ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 2,900 จุด
แสดงว่ามีการเติบโตขึ้นสูงถึง 72%
ขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกัน ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทย เติบโตเพียง 18% เท่านั้น
หลายคนจึงสนใจที่อยากจะไปลงทุนกับหุ้นสหรัฐอเมริกาดูบ้าง
คนไทยจะลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกาทำได้ไหม??
การลงทุนในตลาดหุ้นสหรัฐ สามารถทำได้โดย
1. เปิดพอร์ตหุ้นกับโบรกเกอร์ต่างประเทศ ซึ่งก็ต้องโอนเงินไปยังบัญชีของโบรกเกอร์นั้นๆ ซึ่งมีความยุ่งยากในการโอนเงินจำนวนมากตามมา
2. เปิดพอร์ตซื้อขายหุ้นต่างประเทศกับโบรกเกอร์ต่างๆ ของไทย
แม้ปัจจุบันบริการนี้จะเพิ่มความสะดวกขึ้นมาก แต่สำหรับคนที่เงินทุนน้อย ก็ต้องยอมรับว่าวิธีนี้ยังมีค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง
และ 3. ซื้อกองทุนที่ลงทุนในหุ้นสหรัฐอเมริกา
วิธีนี้ค่อนข้างน่าสนใจสำหรับทั้งคนที่มีทุนน้อย ไม่ค่อยได้ติดตามตลอดเวลา และอยากแบ่งเงินไปลงทุนต่างประเทศดูบ้าง
มีกองทุนของไทยที่ลงทุนกับหุ้นของสหรัฐอเมริกาอยู่หลายกองทุน
ในคราวนี้เพจ Billionaire Mindset จึงขอรวบรวมกองทุนที่ทำผลงานได้ดีในช่วง 5 ปีหลังสุด มาให้ได้ลองเลือกลงทุนกันนะครับ
ต้องย้ำกันอีกครั้งว่า ตัวเลขที่เห็นในกราฟนั้น เป็นผลตอบแทนที่เกิดขึ้นย้อนหลังเท่านั้น
ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าจะได้ผลตอบแทนแบบนั้นตลอดไป
ซึ่งนั่นก็คือ “ความเสี่ยง” ของการลงทุนที่ผมย้ำอยู่เป็นประจำ ว่าคุณก็มีโอกาสทั้งได้กำไรและขาดทุนในอนาคต
ทีนี้.. เราลองมาคิดว่าถ้ากองทุนยังทำผลงานที่ดีต่อไปได้ในอนาคต
คำนวณคร่าวๆ ด้วยลงทุนด้วยเงิน 100,000 บาท
ได้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 15% ตลอดระยะเวลา 5 ปี
เท่ากับว่าคุณจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนเป็นประมาณ 200,000 บาท
และถ้าคุณออมเงินเพิ่มเข้าไปเรื่อยๆ เดือนละ 2,000 บาท หรือปีละ 24,000 บาท
เงินเก็บของคุณจะมีค่าประมาณ 362,000 บาททันที
นี่คือพลังของ “การออมเงิน” ควบคู่กับ “ดอกเบี้ยทบต้น” ซึ่งได้จากการลงทุนนั่นเอง
การกระจายความเสี่ยง สำคัญไม่แพ้ทำกำไร…
การลงทุนในกองทุนซึ่งเน้นหุ้นของตลาดต่างประเทศอย่างสหรัฐอเมริกา
นอกจากจะทำให้ผู้ลงทุนได้มีโอกาสได้ทำกำไร จากตลาดหุ้นที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ยังเป็นการกระจายความเสี่ยงจากตลาดหุ้นของประเทศไทยได้อีกทางหนึ่ง
ยกตัวอย่างเช่น หากตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลง ทำให้กองทุนในไทยมีผลการดำเนินงานติดลบ
แต่เรายังมีกองทุนในสหรัฐอเมริกาทำกำไรชดเชยได้มากกว่า ก็จะทำให้ผลตอบแทนโดยรวมยังคงเป็นกำไรอยู่นั่นเอง
และที่สำคัญที่สุดก็คือ การลงทุนควรลงทุนด้วยความรู้ นำหน้าความโลภเสมอ
เพราะความรู้จะช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เราลงทุน สามารถเลือกเป้าหมายการลงทุนได้อย่างถูกที่ หรือไม่ลงทุนแบบเสี่ยงจนเกินกว่าตัวเองรับได้
สำหรับใครที่สนใจกองทุนไหนในภาพนี้ ผมแปะลิงก์เอาไว้ด้านล่างนี้แล้ว
สามารถเข้าไปเลือกศึกษาข้อมูลของกองทุนแต่ละตัวได้เลยนะครับ….
1. กองทุนเปิดเค หุ้นยูเอส ดัชนีเอ็นดีคิว 100-A ชนิดจ่ายเงินปันผล K-USXNDQ-A(D)
2. กองทุนเปิดเค ยูเอสเอ หุ้นทุน K-USA
3. กองทุนเปิดทหารไทย US500 Equity Index
4. กองทุนเปิดไทยพาณิชย์หุ้นยูเอส SCBS&P500
5. ทิสโก้ ยูเอส อิควิตี้ ฟันด์ TISCOUS
6. กองทุนเปิดแอสเซทพลัสเอสแอนด์พี 500 (ASP-S&P500)
7. กรุงศรียูเอสอิควิตี้ (KF-US)
8. กองทุนเปิดทหารไทย US500 เพื่อการเลี้ยงชีพ TMB US500 RMF
Advertisement