Facebook
Twitter
LINE

ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบมากแค่ไหน ในวิกฤติโควิด-19 !?

ถ้าเรามองไปที่ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทย ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปลายเดือนเมษายน ตกลงไปประมาณ 18%

ในช่วงเวลาเดียวกัน ดัชนี S&P 500 ของทางฝั่งสหรัฐฯ ก็ตกลงไปประมาณ 11%

หลายคนอาจจะงงว่า อ้าว!! ในเมื่อสหรัฐฯ ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 เยอะมาก คนติดเชื้อเป็นล้าน แถมเศรษฐกิจก็หยุดชะงัก ล่าสุดคนตกงาน 35 ล้านคนเข้าไปแล้ว

แต่ทำไมตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งกว่าตลาดหุ้นไทยอีกล่ะ?? เราจะไปหาคำตอบด้วยกันครับ…

 

ก่อนอื่น เรามาทำความรู้จักกับดัชนี S&P 500 กันเล็กน้อย

นี่คือดัชนีที่นำหุ้นบริษัทขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ 500 บริษัท ในหลายอุตสาหกรรมเข้ามาคำนวณ โดยประกอบไปด้วย..

ธุรกิจด้านเทคโนโลยี 23%

ธุรกิจด้านบริการสุขภาพ 14%

ธุรกิจการเงิน 13%

ธุรกิจการสื่อสารโทรคมนาคม 10%

ธุรกิจอุตสาหกรรม 9%

ธุรกิจพลังงาน 4%

และธุรกิจอื่นๆ รวมกันจนครบ 100%

 

ซึ่งว่ากันว่า S&P 500 เป็นดัชนีที่สะท้อนความเป็นไปของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ได้ดีที่สุด

เพราะมันต่างจากดัชนี Dow Jones ที่เน้นไปที่หุ้นบริษัทขนาดใหญ่ไม่กี่ตัว หรือดัชนี NASDAQ ซึ่งเน้นเฉพาะหุ้นเทคโนโลยีเท่านั้น

 

ตัวอย่างของประเภทธุรกิจ ที่อยู่ในดัชนี S&P 500 ซึ่งจะปรับไปในทุกๆ ปี (ภาพนี้ไม่ตรงกับข้อมูลที่เขียน เพราะเป็นของปีที่แล้ว)

 

อย่างที่เกริ่นไปตอนแรก ในปีนี้ดัชนี S&P 500 ปรับตัวลดลงไปประมาณ 11%

แต่พอมองให้ลึกขึ้น จะพบว่าสาเหตุที่ทำให้ดัชนีหุ้นยังไม่ปรับลดลงไปมาก อาจจะมาเพราะหุ้นเทคโนโลยีสำคัญๆ 5 ตัวเท่านั้น

ซึ่ง 5 ตัวท็อปที่ว่า ประกอบไปด้วย Amazon, Apple, Google, Microsoft และ Facebook

ถ้านับตั้งแต่ต้นปีจนถึงสิ้นเดือนเมษายน หุ้น 5 ตัวนี้ทำผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ +10%

ในขณะที่หุ้นอีก 495 ตัวที่เหลือในดัชนี S&P 500 ทำผลตอบแทนเฉลี่ย -13%

โดยเฉพาะในบางกลุ่มธุรกิจ ที่ทำผลตอบแทนในปีนี้ได้ย่ำแย่มากจริงๆ

ไม่ว่าจะเป็น.. กลุ่มธุรกิจพลังงาน เฉลี่ยผลตอบแทน -35%

กลุ่มธุรกิจด้านการเงิน เฉลี่ยผลตอบแทน -25%

หรือธุรกิจด้านอุตสาหกรรม เฉลี่ยผลตอบแทน -20%

(ลองคิดดูเล่นๆ ว่าคุณซื้อหุ้นบริษัทน้ำมันสักแห่งตอนต้นปีด้วยเงิน 1 ล้านบาท ตอนนี้เงินคุณเหลือเพียง 650,000 บาท ก็คงเครียดมากแน่ๆ )

 

ทีนี้ ถ้าเราไปเทียบรายได้ของบริษัทเทคโนโลยีเหล่านี้ กับขนาดเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา ซึ่งอยู่ที่ 650 ล้านล้านบาท

ในปีที่ผ่านมา Amazon มีรายได้ประมาณ 8.9 ล้านล้านบาท

Apple มีรายได้ประมาณ 8.3 ล้านล้านบาท

Alphabet (บริษัทแม่ Google) มีรายได้ประมาณ 5.1 ล้านล้านบาท

Microsoft มีรายได้ประมาณ 4 ล้านล้านบาท

Facebook มีรายได้ประมาณ 2.2 ล้านล้านบาท

 

ทั้ง 5 บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่นี้ มีรายได้รวมกันประมาณ 28.5 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 4.3% ของขนาดเศรษฐกิจสหรัฐฯ

ซึ่งตัวเลขดังกล่าว อาจจะดูไม่สูงมากนัก

ยิ่งถ้ามาเทียบประเทศไทยเรา บริษัทไทยอย่าง ปตท. บริษัทเดียวก็มีรายได้ 2.2 ล้านล้านบาท คิดเป็น 14% ของขนาดเศรษฐกิจไทยแล้ว

 

แต่ความจริงก็คือ หุ้นเทคโนโลยีทั้ง 5 ตัวนั้น มี “มูลค่ากิจการ” ที่สูงมาก เมื่อเทียบกับหุ้นตัวอื่นๆ ในดัชนีเดียวกัน

สมมติง่ายๆ ว่าหุ้นทั้งดัชนีจำนวน 500 ตัว มีมูลค่ากิจการรวมกัน 100 บาท

หุ้นเทคโนโลยี 5 ตัวท็อปนี้ ก็มีมูลค่ารวมกันถึง 20 บาท เฉลี่ยมูลค่าตัวละ 4 บาท

ขณะที่หุ้นตัวอื่นๆ อีก 495 ตัว มีมูลค่ารวมกันประมาณ 80 บาท เฉลี่ยเพียงตัวละ 0.16 บาทเท่านั้น

ค่าเฉลี่ยนั้นต่างกันถึง 25 เท่า!!

นี่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างมูลค่ากิจการ ราคาหุ้น ความน่าลงทุน รวมไปถึงความคาดหวังจากนักลงทุน ที่มีมากกว่าหุ้นตัวอื่นๆ อีกด้วย

 

ความแตกต่างของหุ้นท็อป 5 และหุ้นที่เหลืออีก 495 ตัว

 

อย่างไรก็ตาม ในความเป็น “เดอะ แบก” นี้ มันก็มีทั้งแง่ดีและแง่ร้าย

มองในแง่ดี มันแปลว่าธุรกิจอื่นๆ ยังมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่สูง และมีโอกาสกลับมาทำกำไรได้มากขึ้น หากวิกฤติที่กำลังเกิดขึ้นคลี่คลายลงไป

แต่ในแง่ร้ายล่ะ!? มันก็อาจจะเป็นแง่ร้ายมากๆ ก็เป็นได้

เพราะเมื่อหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ สามารถแบกภาพรวมของตลาดหุ้นได้แล้ว ก็ย่อมทำให้ความเป็นจริงบางอย่างผิดเพี้ยนไป

ตัวอย่างเช่น…

หุ้นเทคโนโลยีไม่กี่ตัว ทำให้ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นไปต่อไป ทั้งที่ความจริงสภาพเศรษฐกิจโดยรวม และภาคธุรกิจอื่นๆ ของประเทศไม่ค่อยดีนัก

ถ้าตลาดหุ้นยังคงวิ่งขึ้นต่อไป แม้เศรษฐกิจจะไม่ดี แต่ผู้คนก็จะยังคงเชื่อมั่นในตลาดหุ้นอยู่

นักลงทุนไม่ได้ลงทุนแค่ 5 บริษัท แต่พวกเขาก็จะยังลงทุนในหุ้นตัวอื่นๆ ตามไปด้วยด้วย ทำให้ราคาหุ้นของธุรกิจอื่นๆ ยังคงไม่ตกลงไปมากนัก

แต่ถ้าวันใดวันหนึ่งหุ้นเทคโนโลยีกลุ่มนี้ ไม่สามารถทำกำไรได้อย่างนักลงทุนคาดหวัง หรือไม่สามารถ “แบก” ต่อได้อีก

วันนั้นก็จะเกิดภาพความจริงที่ว่า ธุรกิจภาคส่วนอื่นๆ ของประเทศ อาจจะไปต่อไม่ไหวแล้ว

และถ้าผู้คนจำนวนมากเริ่มคิดเหมือนกัน ก็จะเกิดแรงเทขายอย่างมหาศาล นำมาซึ่งการตกลงอย่างรวดเร็วของตลาดหุ้น เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในวิกฤติหลายๆ ครั้งที่ผ่านมา

 

มาถึงจุดนี้ ก็เกิดเป็นคำถามที่ว่า หุ้นเทคโนโลยีที่กำลังแบกอยู่นี้ จะสามารถแบกต่อไปได้นานแค่ไหน!?

จะแบกไปจนเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา เริ่มฟื้นจากโควิด-19 ได้หรือไม่!? หรือจริงๆ ตอนนี้จะเป็นแค่ปากเหวที่ยังไม่รู้ว่าก้นเหวนั้นลึกเพียงใด!?

เชื่อว่าอีกไม่นาน เวลาคงจะให้คำตอบที่ชัดเจนแก่เราได้อย่างแน่นอน… คุณคิดว่าอย่างไรครับ!?

 

ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบมากแค่ไหน ในวิกฤติโควิด-19 !?ถ้าเรามองไปที่ดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทย…

โพสต์โดย Billion Mindset – แนวคิดพันล้าน เมื่อ วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม 2020

 

 

ติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง

– เริ่มจากช่องทางใหม่ล่าสุด อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/

– ตามต่อในทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit

– ติดตามเพจ Billion Mindset – แนวคิดพันล้าน อย่าลืมตั้งค่า See First เพื่อไม่ให้พลาดทุกโพสต์ใหม่นะครับ!!

 

ที่มา:

www.mitrade.com/th/forex/indices/stock-indices/what-is-SP500

www.zerohedge.com/markets/whats-really-driving-market-performance-look-return-decomposition

Advertisement

แสดงความคิดเห็น...