Facebook
Twitter
LINE

เคยได้ยินเรื่องราวของตระกูล “Rothschild” กันรึเปล่า?

ว่ากันว่า นี่คือชื่อของตระกูลมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด ผู้ซึ่งใช้อำนาจคอยควบคุมชักใยผู้นำโลกใบนี้อยู่เบื้องหลัง

แต่.. อันที่จริงตระกูลนี้ มีที่ไปที่มาอย่างไรกันแน่!?

ทำไมครอบครัวของคนกลุ่มหนึ่ง ถึงกลายมาเป็นทฤษฎีสมคบคิดดังกล่าวได้!?

และคำถามสำคัญก็คือ.. พวกเขาคือกลุ่มคนที่รวยที่สุดในโลกใบนี้จริงหรือ??

 

เราจะพาคุณย้อนไปยังจุดเริ่มต้นของ Rothschild

ต้นกำเนิดของตระกูลนี้ เราต้องกลับไปในยุคกลางของยุโรป เมื่อปี 1528

ช่วงนั้น แทบจะทุกดินแดนในยุโรปจะถูกปกครองโดยศาสนาคริสต์ ส่วนชาวยิวทั่วๆ ไปที่ไม่ได้นับถือคริสต์ ก็พากันอาศัยอยู่กันตามนอกกำแพงเมือง

ปกติที่บ้านชาวยิว จะแขวนรูปต่างๆ ไว้ตรงหน้าบ้าน เพื่อแสดงให้เห็นชัดว่าบ้านหลังนี้เป็นของใคร

มีตระกูลหนึ่ง แขวนรูปโล่สีแดงเอาไว้หน้าบ้าน ซึ่งในภาษาเยอรมัน “โล่สีแดง หรือ Red Shield” ก็อ่านว่า Roth Schild พอดี

พวกเขาจึงได้รับการเรียกชื่อว่าตระกูล Rothschild และสืบทอดนามสกุลมาจนถึงทุกวันนี้

 

ที่เราหยิบยกเรื่องคริสต์และยิวมาพูดนั้น ก็เพราะว่ายุคก่อน ชาวคริสต์จะมองว่าการให้ยืมเงินและคิดดอกเบี้ยนั้นเป็นบาป

เมื่อปล่อยกู้แล้วไม่ได้ดอกเบี้ย ชาวคริสต์ก็เลยไม่มีใครสนใจทำธุรกิจดังกล่าว

ธุรกิจการปล่อยกู้ส่วนใหญ่ จึงตกอยู่ในมือของตระกูลชาวยิวหลายๆ ครอบครัวในเวลานั้นแทน

และแน่นอนว่าตระกูล Rothschild เอง ก็เป็นตระกูลที่เชี่ยวชาญในด้านการให้กู้ยืมเงินเป็นพิเศษด้วย จนทำให้พวกเขาร่ำรวยขึ้นมากว่าตระกูลยิวอื่นๆ

 

สู่การเป็นตระกูลที่โด่งดัง

ผ่านมาเป็นเวลากว่า 200 ปี ตระกูล Rothschild ก็สืบทอดธุรกิจการเงินมาจากรุ่นสู่รุ่น

จนกระทั่งในปี 1769 ผู้นำตระกูล Mayer Amschel Rothschild กลายเป็นเศรษฐีชาวยิวที่มีชื่อเสียง จนมีโอกาสได้ทำงานเป็นคนเก็บภาษีในอาณาจักร

ด้วยความร่ำรวยและเส้นสายที่มากขึ้นนี้เอง นำไปสู่การส่งลูกทั้ง 5 คนของเขา ไปประจำอยู่ตามประเทศสำคัญๆ ในยุโรป เพื่อให้ธุรกิจครอบครัวนี้มีเครือข่ายมากยิ่งขึ้น

ธุรกิจที่ว่า ก็คือการให้คนในประเทศต่างๆ มายืมเงิน ก่อนจะเก็บรายได้จากดอกเบี้ยอีกที

ด้วยความที่มีสาขาให้บริการอยู่ในหลายประเทศ บ่อยครั้งธุรกิจธนาคารของพวกเขา ก็เข้าไปพัวพันกับสงครามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เพราะการทำสงครามต้องใช้เงินจำนวนมาก และย่อมต้องดิ้นรนมาขอกู้เงินแลกกับดอกเบี้ยที่สูง

กระทั่งบางครั้ง พวกเขาก็สนับสนุนเงินทุนให้กับทั้ง 2 ฝั่งของสงคราม อย่างที่เกิดขึ้นกับอังกฤษและฝรั่งเศส ในสงครามนโปเลียน

 

จุดนี้ทำให้หลายคนสงสัยว่า ตระกูล Rothschild อาจเป็นผู้อยู่เบื้องหลังสงครามเสียเองด้วย

ซึ่งข้อมูลดังกล่าวไม่มีหลักฐานยืนยันมากพอ แต่ก็ทำให้ตระกูลนี้มีฐานะร่ำรวย และเส้นสายในราชวงศ์ต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

จนสุดท้ายไม่ว่าบัลลังก์จะเปลี่ยนมือไปอยู่กับกษัตริย์คนไหน พวกเขาก็จะค่อยเป็นผู้ให้บริการเงินกู้แก่กษัตริย์ในยุโรปอยู่เสมอ

 

การขึ้นเป็นเจ้าแห่งการเงินในยุโรป

การทำงานของตระกูล Rothschild ถูกมองว่าเป็นต้นแบบ ของบริการธนาคารระหว่างประเทศในยุคเริ่มแรก

นอกจากการปล่อยกู้เป็นเครือข่ายในยุโรปแล้ว ยังนำเงินที่ได้จากดอกเบี้ย ไปลงทุนต่อยอดอีกหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็น..

ในปี 1868 พวกเขาเข้าซื้อ หนึ่งในโรงผลิตไวน์ ที่มีมูลค่ามากที่สุดในฝรั่งเศส

ในปี 1875 พวกเขาเข้าถือหุ้นคลองสุเอซ เมกะโปรเจ็คต์ของมนุษย์ในยุคนั้น

ต่อมาในปี 1883 พวกเขาก็ได้ครอบครองกิจการน้ำมันทั้งในยุโรปและเอเชีย ในยุคที่น้ำมันกำลังเริ่มเฟื่องฟู

จนทำให้พวกเขากลายเป็นคู่แข่งสำคัญของ John D. Rockefeller และบริษัท Standard Oil ที่กำลังรุ่งเรืองในสหรัฐอเมริกา

ซึ่งทั้งความรวย อำนาจ และธุรกิจอันหลากหลาย ส่งผลให้ตระกูล Rothschild ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มคนร่ำรวยที่สุดในโลกยุคนั้น

น่าเสียดาย ที่ไม่มีแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือมากพอ เราเลยขอไม่ฟันธงตัวเลขอย่างชัดเจน

แต่ถ้าคุณอยากรู้ตัวเลข บางแห่งประเมินว่าพวกเขามีทรัพย์สิน ที่เทียบกับค่าเงินปัจจุบันสูงถึง 60 ล้านล้านบาท แต่บางแห่งก็ประเมินไว้ว่า น่าจะมีอยู่ราวๆ 1.2 ล้านล้านบาทเท่านั้น

 

แต่ความร่ำรวย ใช่ว่าจะคงอยู่เสมอไป

ด้วยความที่ตระกูล Rothschild มีตระกูลสาขาอยู่มากมายทั่วทวีปยุโรป จนกลายเป็นเหมือนบริษัทขนาดใหญ่

เมื่อสาขาใดสาขาหนึ่งเริ่มเสื่อมถอย ก็อาจจะฉุดทำให้ความร่ำรวยของทั้งตระกูลลดลงไปก็เป็นได้

ในปี 1900 ตระกูล Rothschild ต้องเสียตระกูลสาขาในอิตาลีไป เนื่องจากไม่มีทายาทมาสืบทอด

ต่อมาเป็นตระกูล Rothschild สาขาเยอรมนี ที่ลูกทั้ง 11 คนนั้นเป็นผู้หญิงหมด ตามธรรมเนียมจะต้องแต่งเข้าบ้านอื่น ทำให้ไม่มีใครมาสืบทอดกิจการต่อ

 

แต่นั่นยังไม่ใช่จุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะพวกเขายังประคับประคองตัวเองผ่านสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ จนกระทั่งมาถึงสงครามโลกครั้งที่ 2

อ่านถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะสงสัยว่า ตระกูลนี้ก็เคยหากินกับสงครามไม่ใช่เหรอ!?

ปัญหาสำคัญก็คือ เรารู้กันดีว่า  Adolf Hitler มีนโยบายกำจัดชาวยิว ซึ่งแม้กระทั่งคนรวยระดับนี้ก็ไม่รอดจากการถูกกวาดล้างไปด้วย

 

ในปี 1938 เมื่อนาซีเข้ายึดออสเตรีย ตระกูล Rothschild สาขาหลักยังต้องหนีเอาชีวิตรอดจากการถูกจับกุบ พวกเขายอมขายทรัพย์สินออกไปหลายอย่าง

แต่ก็มีคนในตระกูลหลายคนที่ถูกจับตัวไป

แม้นาซีจะมีนโยบายต่อต้านชาวยิวมากแค่ไหน แต่ทุกเรื่องก็สามารถใช้ “เงิน” ในการเจรจาได้อยู่ดี

มีข้อมูลบางแห่งระบุว่า Rothschild ต้องจ่ายเงินสูงถึง 12,000 ล้านบาทในยุคนั้น เพื่อไถ่ตัวสมาชิกตระกูลเพียงหนึ่งคน จากการถูกนาซีจับกุมไป

ซึ่งภายหลังในปี 1940 ที่เยอรมนีบุกฝรั่งเศส ตระกูล Rothschild สาขาปารีส ก็ต้องยอมเสียทรัพย์สินในกรณีคล้ายๆ กันอีกด้วย

 

ตระกูล Rothschild ในยุคสมัยปัจจุบัน

มรสุมที่ตระกูล Rothschild ต้องพบ ทำให้ตระกูลสาขาหลายแห่งต้องล่มสลายไป

น่าเสียดายที่ตามข้อมูล Rothschild ก็ยังคงร่ำรวยอยู่ แต่ดูเหมือนว่า จะไม่ได้เป็นมหาเศรษฐีรวยที่สุดอย่างที่เขาเคยเป็นอีกต่อไปแล้ว

ในปัจจุบัน ทายาทของตระกูลอย่าง Evelyn de Rothschild ก็ยังคงรับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาด้านการเงิน ให้ควีนอลิซซาเบธที่ 2

ส่วน Jacob Rothschild ก็มีชื่อเสียงในฐานะนักการเงิน ที่ใกล้ชิดกับราชวงศ์อังกฤษเช่นกัน

 

แต่ถ้าเราไปดูในการจัดอันดับเศรษฐีโลก..

ก็พบว่าตระกูล Rothschild คนแรกที่ปรากฏในรายชื่อ ต้องเลื่อนหน้าจอลงไปถึงอันดับที่ 1,800 ของโลก ด้วยทรัพย์สินประมาณ 440,000 ล้านบาท

ชื่อของเขาคือ Benjamin de Rothschild นักธุรกิจธนาคารในฝรั่งเศส ซึ่งสืบทอดกิจการจากพ่อในสวิตเซอร์แลนด์อีกทีหนึ่ง

 

แต่.. มาถึงจุดนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่า Rothschild เป็นตระกูลเศรษฐีชักใยโลกอยู่เบื้องหลังไม่ใช่เหรอ!?

เพราะฉะนั้น พวกเขาจะต้องปกปิดทรัพย์สินที่มีอยู่แน่ๆ!!

ซึ่งในจุดนี้ก็… อาจจะมีความจริงส่วนหนึ่ง

เนื่องจากโครงสร้างครอบครัวที่มีคนในตระกูลจำนวนมาก กระจายกันอยู่ในหลายประเทศ

และความที่เป็นบริษัทจำกัด ไม่ได้เข้าตลาดหุ้น ย่อมทำให้ข้อมูลทั้งหมดไม่เปิดเผยออกมาสู่โลกภายนอก เหมือนกับบริษัทมหาชนอื่นๆ

แต่การจะประเมินว่าทรัพย์สินของพวกเขามีมหาศาล จนสามารถควบคุมการเงินโลกทั้งใบ เรื่องนั้นก็ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ที่น่าเชื่อถือมาสนับสนุนได้มากพอ

ซึ่งเรื่องไม่มีหลักฐานที่น่าเชื่อถือนั้น ก็ถูกตั้งทฤษฎีโยงว่า เป็นแผนของตระกูล Rothschild ที่ต้องการปกปิดตัวตนอีกนั่นแหละ

 

สุดท้าย เรื่องของตระกูล Rothschild ก็จะถูกบอกเล่าต่อ ทั้งในเรื่องของบทเรียนทางธุรกิจ และทฤษฎีสมคบคิด ควบคู่กันไปอีกนานแสนนาน…

แล้วคุณเองล่ะครับ คิดว่าความจริงนั้นเป็นอย่างไร!?

 

เคยได้ยินเรื่องราวของตระกูล "Rothschild" กันรึเปล่า?ว่ากันว่า นี่คือชื่อของตระกูลมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุด…

โพสต์โดย Billion Mindset – แนวคิดพันล้าน เมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน 2020

 

 

ติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง

– เริ่มจากช่องทางใหม่ล่าสุด อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/

– ตามต่อในทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit

– ติดตามเพจ Billion Mindset – แนวคิดพันล้าน อย่าลืมตั้งค่า See First เพื่อไม่ให้พลาดทุกโพสต์ใหม่นะครับ!!

 

ที่มา

medium.com/bc-digest/rothschilds-1dbaefcec1cc

www.businessinsider.com/the-early-rothschilds-built-a-fortune-2012-12

www.historytoday.com/archive/rise-rothschilds

https://en.wikipedia.org/wiki/Rothschild_family

Advertisement

แสดงความคิดเห็น...