Facebook
Twitter
LINE

หลายคนอาจจะงง ว่าทำไมจู่ๆ สินค้า “ดอกไม้สีรุ้ง” จึงกลายมาเป็นของฮิตกันในยุคนี้

กลายเป็นสินค้าขายกันหลักพันบาท แถมยังขายดิบขายดีอีก น่าสงสัยซะจริง??

 

 

ต้นกำเนิดของดอกไม้สีรุ้ง มาจากศิลปินชาวญี่ปุ่น Takashi Murakami (คนในภาพนี่แหละครับ)

เขาเกิดเมื่อปี 1962 มีความรักในศิลปะมาตั้งแต่เด็ก

จากนั้นจึงเข้าเรียนสาขาศิลปะ ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว เพื่อศึกษาให้ลึกซึ้งขึ้น

วิชาเอกของเขาคือ Nihonga ซึ่งเป็นศิลปะงานวาดแบบญี่ปุ่นโบราณในช่วงยุคปี 1900

 

หลังจบการศึกษา งานแรกๆ ของเขานั้นคือการใช้ศิลปะเสียดสีสังคมญี่ปุ่นเอง ซึ่งได้รับผลตอบรับไม่มากนัก

ต่อมา เขาสามารถผสมผสานศิลปะของเขา เข้ากับวัฒนธรรมร่วมสมัยอย่างเช่น การ์ตูน ภาพยนตร์

จนมีเสียงตอบรับที่ดีมากขึ้น และส่งผลให้ตัวเขาเองมีชื่อเสียงมากขึ้นตามไปด้วย

Takashi เคยร่วมงานกับแบรนด์ดังอย่าง Louis Vuitton  ออกคอลเลคชั่นสินค้าพิเศษ ซึ่งก็ขายดีอีกเช่นกัน

สัญลักษณ์รูปดอกไม้ กลายเป็นลายเซ็นของเขาที่ไปประกอบอยู่ตามสิ่งต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า ภาพวาดตกแต่งสถานที่ และสินค้าอื่นๆ อีกมากมาย

 

Takashi Murakami รวยแค่ไหน??

เขามีชื่อเสียงโด่งดังในวงการออกแบบ โดยได้รับฉายาว่า “ศาสดาแห่งป๊อปอาร์ต”

ด้วยความโดงดังของเขา มีการประเมินว่า Takashi น่าจะมีทรัพย์สินไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท

รายได้จะมาจากทั้งงานศิลปะของเขาเอง ซึ่งข้อมูลระบุว่าในปี 2008 งานของเขาสามารถขายได้ตั้งแต่ 12 ล้านบาท ไปจนถึง 400 ล้านบาทต่อชิ้น

ทำให้เขาเป็นเพียงศิลปินคนเดียว ที่ติดอันดับ 100 บุคคลทรงอิทธิพลของนิตยสารไทม์ ประจำปี 2008 ด้วย

นอกจากนี้ยังมีรายได้จากการออกอีเว้นต์ต่างๆ และส่วนแบ่งที่ได้จากการไปร่วมทำสินค้ากับแบรนด์ดังนั่นเอง

 

เข็มกลัดดอกไม้ Murakami Flower คืออะไร?

ดอกมุราคามิ ตั้งชื่อตามนามสกุลของเขา

ซึ่งปกติแล้วเข็มกลัดดอกไม้จะมีวางขายในญี่ปุ่น ตกเป็นเงินไทยอยู่ที่ราคา 500-600 บาท

ซึ่งกระแสที่มาแรงในไทยช่วง 1 เดือนที่ผ่านมานี้

คาดว่าจะมาจากศิลปิน “โมบายล์ BNK48” นำเข็มกลัดดอกไม้มาเป็นเครื่องประดับ

นั่นทำให้เกิดกระแสความต้องการในกลุ่มแฟนคลับ แล้วจึงแผ่ขยายไปยังคนกลุ่มอื่นๆ

เมื่อมีความต้องการของคนกลุ่มอื่นร่วม จึงเกิดการปั่นราคาให้สูงขึ้นเล็กน้อย จากเดิมที่อาจจะมีการนำเข้ามาขายอันละ 700-800 บาท

ราคาก็สามารถกระโดดไปได้ตั้งแต่ 1,000-1,800 บาทกันเลยทีเดียว

 

อยากจะรวยเงินล้านจากดอกมุราคามิ ต้องทำยังไง??

สมมติว่าคุณจะเป็นพ่อค้าแม่ค้าขายเข็มกลัดดอกมุราคามิ

ลองคิดเล่นๆ ว่าคุณสามารถนำเข้าจากญี่ปุ่นในราคาดอกละ 600 บาท

ภาษีนำเข้า 30% และภาษีมูลค่าเพิ่ม 7%

ต้นทุนของคุณก็จะเป็นประมาณ 834 บาทต่อดอก

คุณมาตั้งราคาขายในไทยประมาณ 1,500 บาท

เท่ากับว่ามีกำไรดอกละประมาณ 660 บาท

 

ถ้าจะขายให้ได้กำไร 1,000,000 บาท คุณก็จะต้องขายให้ได้ 1,500 ดอก

เป็นเป้าที่สูงเกินไปรึเปล่า สำหรับการเป็นเศรษฐีเงินล้านจากดอกมุราคามิ??

 

มันอาจจะไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าคุณกำลังขายอะไร แต่มันอาจจะขึ้นอยู่กับว่า คุณเป็นใคร??

สมมติว่าคุณเป็นสมศรี นำเข้าดอกไม้มาขาย 1,000 ดอก

แล้วโพสต์ลงเฟซบุ๊กของตัวเองที่มีเพื่อน 200 คน ลงอินสตาแกรมที่มีคนติดตาม 100 คน

คุณอาจจะขายได้แค่ 20 ดอก

 

แต่สมมติว่าคุณเป็น Kylie Jenner แล้วมาติดเข็มกลัดดอกไม้ดังกล่าว จากนั้นโพสต์ขายในอินสตาแกรมตัวเองที่มีคนติดตาม 115,000,000 คน

การขายให้ได้สัก 1,000 ดอก ไม่สิ อาจจะ 1,000,000 ดอก ก็อาจจะเป็นเรื่องง่ายเสียด้วยซ้ำ

 

ดอกไม้มุราคามิ อาจจะสอนเราในแง่ของธุรกิจได้เช่นกัน…

แทนที่มันจะเป็นเพียงเข็มกลัดดอกไม้สีรุ้ง ซึ่งขายได้ไม่กี่บาท

มันกลับเป็นผลงานออกแบบของคุณ Takashi ทำให้มันมีมูลค่าในตัวเอง

มันถูกนำมาสวมโดยศิลปินที่มีแฟนคลับอย่าง “โมบายล์” ก็ยิ่งทำให้มันมีความต้องการมากขึ้น

 

เพราะการที่คนจะซื้ออะไรสักอย่าง ไม่ได้มุ่งเป้าไปที่ “คุณภาพ” ของสินค้าเพียงอย่างเดียว

แต่สินค้าที่มีสตอรี่ มีเรื่องราว มีแรงจูงใจให้ซื้อ รวมถึงมาจากคนขายที่มีชื่อเสียง

บางทีมันก็อาจจะขายดิบขายดี สร้างรายได้มหาศาล จนเราอาจจะคาดไม่ถึงด้วยซ้ำนะครับ….

 

อ่านเพิ่มเติม:

กรณีศึกษา Kylie Jenner ว่าที่ “เศรษฐีพันล้านอายุน้อยที่สุดในโลก” แทน Mark Zuckerberg

กรณีศึกษา Supreme แฟชั่นมูลค่า 30,000 ล้าน กับแนวคิด “ไม่ใช่ทุกคนที่ซื้อได้…”

 

ที่มา:

https://item.rakuten.co.jp/moncachette/701716001/

www.bornrich.com/takashi-murakami.html

https://en.wikipedia.org/wiki/Takashi_Murakami

Advertisement

แสดงความคิดเห็น...