Facebook
Twitter
LINE

หุ้น Microsoft ปิดตลาดในวันศุกร์ที่ผ่านมา ด้วยราคา 110.89 ดอลลาร์

นั่นส่งผลให้มูลค่าของบริษัทพุ่งไปอยู่ที่ 27.6 ล้านล้านบาท

ก้าวแซง Apple ครองตำแหน่งบริษัทที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลกได้สำเร็จ!!

 

การรอคอยที่ยาวนาน 16 ปี…

ครั้งล่าสุดที่ Microsoft เป็นกิจการที่มูลค่าสูงที่สุดในโลก ก็คือเมื่อปี 2002

ในยุคนั้นรายได้หลักของบริษัทมาจากการขายซอฟต์แวร์ ซึ่งตัวที่โด่งดังและรู้จักทั่วโลกก็คือ Windows XP และ Microsoft Office

แม้จะประสบความสำเร็จมาก แต่บริษัทก็ขยันพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาเสมอ

ขยายธุรกิจไปทางด้านบริการออนไลน์ อุปกรณ์พกพา และกระทั่งเครื่องเล่นวิดีโอเกม

แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งที่ออกมาจะประสบความสำเร็จ เอาเข้าจริงกลับทำได้ในระดับกลางๆ เสียด้วย

นั่นทำภาพลักษณ์ของ Microsoft กลายเป็นบริษัทไอทียักษ์ใหญ่ ที่ไม่ได้เติบโตหวือหวา แต่ก็ไม่ได้ล้มเหลวจนน่าเป็นห่วง

จนกระทั่งค่อยๆ ถูกบริษัทอื่นแซงหน้าไปในท้ายที่สุด

 

Apple คู่แข่งตัวฉกาจ และเหล่าบริษัทยุคใหม่มาแทนที่!!

นับตั้งแต่การเปิดขาย iPhone รุ่นแรกในปี 2007 ยุคสมัยแห่งความรุ่งเรืองของ Apple ก็เริ่มต้นอย่างแท้จริง

กระทั่งปี 2012 บริษัทผลไม้ก็ครองแชมป์บริษัทมูลค่าสูงที่สุดในโลกได้สำเร็จ

พร้อมกับการเติบโตของบริษัทด้านอินเตอร์เน็ตและอีคอมเมิร์ซที่ผุดขึ้นอย่างมากมาย

จนมีการเรียกชื่อกลุ่มบริษัทไอทียุคใหม่ว่า FAANG ซึ่งประกอบไปด้วย Facebook, Apple, Amazon, Netflix และ Google

ซึ่งนั่นไม่มี Microsoft รวมอยู่ด้วย.. อ่าว!?

เพราะยุคนี้มันเป็นยุคเสื่อมถอยของ “คอมพิวเตอร์” ซึ่งเป็นอุปกรณ์สร้างรายได้หลักให้ Microsoft

ทุกคนต่างก็หันไปใช้ “สมาร์ทโฟน” กลายเป็นอุปกรณ์ที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน

ยักษ์ใหญ่ในอดีต ถูกมองว่าเป็น “คนแก่” ที่ยังขายของแบบเดิมๆ

ถึงแม้จะทำผลิตภัณฑ์มาสู้กับเด็กๆ ยุคใหม่ แต่ก็โดนเด็กสอนมวยจนต้องม้วนเสื่อกลับไป

ระบบ iOS และ Android ถูกใช้ในโทรศัพท์มือถือกว่า 96% ของทั้งโลก

ในขณะที Windows Phone กลายเป็นอีกหนึ่งความล้มเหลวของ Microsoft ในยุคใหม่…

 

“ราชาแก่” กลับมาทวงบัลลังก์ได้อย่างไร??

หลังจากปี 2014 เป็นต้นมา ดูเหมือนว่าทิศทางของ Microsoft จะกลับมาเดินถูกทางได้อีกครั้ง

ขั้นแรกคือการที่ยอมตัดธุรกิจซึ่งไม่ทำกำไรออก ไม่ว่าจะเป็นการขายแบนเนอร์โฆษณา ธุรกิจบันเทิงซึ่งไม่ทำกำไร และที่สำคัญคือ “สมาร์ทโฟน”

ก่อนที่จะปลดพนักงานกว่า 25,000 คน ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นอดีตพนักงานของ Nokia ที่พวกเขาซื้อกิจการมา

เมื่อกล้ายอมรับกับความล้มเหลว และรีบจัดการความผิดพลาด ก็ได้เวลาเดินหน้าต่อไป

หลังจากนั้นบริษัทก็จัดการแบ่งกลุ่มธุรกิจของตัวเอง ให้ชัดเจนยิ่งขึ้นเป็น 3 หมวดหมู่

ได้แก่ กลุ่มลูกค้าบุคคล พวกโปรแกรม Windows, Office, เครื่องเกม Xbox

กลุ่มลูกค้าองค์กร ทั้งการจัดการซอฟต์แวร์ และบริการเซอร์วิส

และผลิตภัณฑ์คลาวด์ ซึ่งอย่างหลังสุดนี้ก็สร้างรายได้ให้ไม่น้อย

เมื่อแบ่งแยกชัดเจนขึ้น ก็สามารถจัดการมันได้ง่ายขึ้น ประกอบกับชื่อเสียงเรื่องมาตรฐานของ Microsoft ที่คนทั้งโลกต่างก็มั่นใจอยู่เป็นทุนเดิม

ทำให้บริษัทกลับมาสร้างรายได้เติบโตขึ้นอย่างน่าพอใจอีกครั้ง

ปี 2016 มีรายได้ 2.7 ล้านล้านบาท

ปี 2017 มีรายได้ 2.9 ล้านล้านบาท

ปี 2018 มีรายได้ 3.5 ล้านล้านบาท

 

ที่สำคัญก็คือ ธุรกิจที่กล่าวไปข้างต้น ทั้ง 3 กลุ่มนี้สร้างรายได้ให้กับบริษัทในสัดส่วนประมาณ 30%

เป็นข้อดีที่ว่า ถ้าในอนาคตส่วนหนึ่งมีปัญหา ก็จะไม่กระทบรายได้ของบริษัทมากนัก และช่วยให้บริษัทดำเนินกิจการต่อไป เพื่อปรับแก้ไขในส่วนนั้นได้ทันท่วงที

 

การรู้จักยอมรับข้อผิดพลาด กล้าที่จะละทิ้งสิ่งเดิม และเดินไปในทิศทางที่ตัวเองถนัดที่สุด

นี่อาจจะเป็น “เคล็ดลับ” การคืนสู่บัลลังก์แชมป์ของ Microsoft และเป็นแง่คิดที่สอนธุรกิจของเราทุกคนได้ดีทีเดียว…

 

 

ติดตาม Billionaire Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง

– เริ่มจากช่องทางใหม่ล่าสุด อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionairethai/

– ตามต่อในทวิตเตอร์ https://twitter.com/BillionaireThai

– ถ้าเล่นแต่ไลน์ ก็ส่งบทความให้คุณทุกวันที่ @BillionaireMindset

– ติดตามเพจ Billionaire Mindset – แนวคิดพันล้าน อย่าลืมตั้งค่า See First เพื่อไม่ให้พลาดทุกโพสต์ใหม่นะครับ!!

 

ที่มา:

www.blognone.com/node/106742

www.nasdaq.com/screening/companies-by-industry.aspx?sortname=marketcap&sorttype=1&exchange=NASDAQ

www.statista.com/statistics/267805/microsofts-global-revenue-since-2002/

en.wikipedia.org/wiki/Microsoft

www.nytimes.com/2018/11/29/technology/microsoft-apple-worth-how.html

Advertisement

แสดงความคิดเห็น...