Facebook
Twitter
LINE

ถ้าเราไปเดินถามคนตามท้องถนน ให้พูดถึงแบรนด์กางเกงยีนส์สักแบรนด์ เชื่อว่าคำตอบที่ได้รับจะต้องมีชื่อของ “Levi’s” ติดมาในอันดับต้นๆ

เพราะนี่คือยี่ห้อกางเกงยีนส์ที่เป็นอมตะ มีจุดกำเนิดกว่า 100 ปี และยังคงสร้างยอดขายได้ในปัจจุบัน

แต่คุณอาจจะไม่รู้ว่า ต้นกำเนิดของแบรนด์แฟชันอมตะนี้ เริ่มมาจากแนวคิดง่ายๆ ในการ “ขายสินค้าจำเป็น” ให้กับคนที่ไม่รู้ตัวว่าต้องใช้มันอีกด้วย..

 

เรื่องราวของกางเกงยีนส์ตัวนี้ ต้องย้อนกลับไปในช่วงยุค 1850

ข่าวของการค้นพบ “ทองคำ” ปริมาณมหาศาลในทางตะวันตกของสหรัฐฯ พร้อมกับเหมืองทองที่ผุดขึ้นมาในตอนนั้น ส่งผลให้ผู้คนเดินทางมายังแคลิฟอร์เนียกันเป็นจำนวนมาก

บ้างก็เพื่อแสวงหาโชค บ้างก็หวังจะเป็นคนค้นพบทองคำที่ซ่อนอยู่ บ้างก็ขายทุกอย่างทิ้ง มาเริ่มต้นชีวิตใหม่

 

 

หนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้น คือชายชื่อ Levi Strauss พ่อค้าผู้เดินทางมาจากเยอรมนี

ไม่เลย.. เขาไม่ได้มาเพื่อแสวงโชคในการขุดทองคำอย่างคนอื่นๆ เขาไม่ได้ต้องการจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่แรก

แต่เพราะเขามองว่า เมื่อมีคนเดินทางมาขุดทองเยอะ ย่อมมีความต้องการอาหารมากขึ้น และเป้าหมายของเขาก็คือ การเปิดบริษัทขายอาหารแห้งในซานฟรานซิสโก

แต่เมื่อมาถึงจริงๆ ในปี 1853 เขากลับพบว่าตัวเองคิดผิด เพราะพื้นที่หลายส่วนในรัฐนี้ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ คนจึงไม่มีปัญหาเรื่องการขาดแคลนอาหารสักเท่าไร

และนั่นทำให้การเปิดบริษัทอาหารแห้งของเขานั้น ไม่สามารถทำกำไรได้อย่างที่ใจคิดนัก จนกระทั่งเขาเริ่มตั้งข้อสังเกตได้อย่างหนึ่ง…

 

คนงานในยุคนั้น ไม่ใช่เฉพาะเหมืองทอง แต่ยังรวมถึงช่างก่อสร้างที่พัก รวมถึงงานใช้แรงงานอื่นๆ มักจะมีปัญหาที่คล้ายกันอย่างหนึ่งก็คือ “กางเกง” ที่พวกเขาใส่ ไม่ค่อยคงทน

งานที่ใช้งานหนัก ทำให้กางเกงของพวกเขาได้รับความเสียหายอยู่บ่อยครั้ง แต่ไม่มีใครบ่นเรื่องกางเกงสักเท่าไรเลย

ถ้าใส่กางเกงทำงานหนัก กางเกงก็ย่อมจะเปื้อน ย่อมจะขาดได้ง่าย แต่พวกเขาก็แค่เปลี่ยนเป็นกางเกงตัวใหม่ หรือซ่อมมันให้ใช้งานได้

แต่.. แทบไม่มีคนคิดค้นกางเกงที่ทนทาน ที่สามารถใส่รองรับการทำงานหนักๆ ออกมาขายเลย!!

 

 

การค้นพบนั้นทำให้ Levi เกิดแนวคิดที่จะทำกางเกงแบบใหม่ขาย ด้วยการอาศัยผ้าแบบต่างๆ ที่คงทนกว่าผ้าแบบปกติ

เขาเริ่มต้นจากผ้าใบที่ใช้ทำเต็นท์ มาดัดแปลงเป็นการเกงขายาว แต่ก็พบว่ามันมีปัญหาเนื้อหาที่ใส่ไม่ค่อยสบายและใช้งานจริงได้ค่อนข้างลำบาก

จนกระทั่งเขาได้ไปรู้จักกับ “ผ้าเดนิม” ซึ่งมีที่มาจากฝรั่งเศส และมองว่านี่แหละ คือวัสดุที่จะมาเป็นกางเกงสุดทนทานของเขา

ปรากฏว่า กางเกงผ้าเดนิมสีน้ำเงินนั้นได้รับความนิยมจากแรงงานชายเป็นจำนวนมาก เกิดกระแสการบอกกันปากต่อปาก จนขายดิบขายดี

หลายคนรู้จักมันในนามของ “กางเกงกันเปื้อน” เพราะสีน้ำเงินนั้นซ่อนรอยเปื้อนได้อย่างไม่ยากนัก แถมคราบที่เปื้อนบนกางเกง ยังทำให้มันดูสวยคลาสสิกขึ้นไปอีก

 

และสิ่งสำคัญก็คือ.. เมื่อมีคนหลั่งไหลเข้ามาจากยุคตื่นทอง จนกระทั่งความตื่นทองนั้นเริ่มสร่างซาลงไป

แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ มันทำให้มีการตัดเส้นทางรถไฟมาทางตะวันตก ส่งผลให้เมืองทางตะวันตกเจริญขึ้นตามไป และส่งผลให้มีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น

แรงงานซึ่งส่วนใหญ่เป็นเพศชาย ก็ย่อมต้องการเครื่องแต่งกายสำหรับทำงานที่ดียิ่งขึ้น

และนั่นส่งผลให้กางเกงของนาย Levi กลายมาเป็นสินค้ายืนหนึ่งในแถบตะวันตกไปในทันที

 

จากปี 1853 มาจนถึงปี 2019 ธุรกิจร้านเสื้อผ้าเล็กๆ ของ Levi Strauss กลายมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกในชื่อเดียวกัน ด้วยมูลค่าบริษัทกว่า 280,000 ล้านบาท

พวกเขามีร้านค้าอยู่มากกว่า 2,800 สาขาทั่วโลก และพนักงานอยู่มากกว่า 15,000 ชีวิต

ในปี 2017 บริษัททำรายได้ 150,000 ล้านบาท กำไรประมาณ 8,700 ล้านบาท

ในปี 2018 บริษัททำรายได้ 170,000 ล้านบาท กำไรประมาณ 8,800 ล้านบาท

และในปี 2019 บริษัททำรายได้ 180,000 ล้านบาท กำไรประมาณ 12,000 ล้านบาท

 

 

เรื่องราวตำนานทั้งหมดนี้ จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่มีไอเดียของชายคนหนึ่ง ที่คิดสร้างความร่ำรวย ด้วยวิธีที่แตกต่างจากคนอื่นๆ ในยุคนั้น

ในยุคที่ใครต่อใคร ต่างก็ตั้งใจมาขุดทอง ซึ่งแน่นอนว่า จะมีคนที่ประสบความสำเร็จเพียงหยิบมือ แต่ส่วนใหญ่ล้วนคว้าน้ำเหลว

บางส่วนกลายเป็นคนจน บางส่วนแย่ถึงหมดตัว ขณะที่บางคนต้องแลกความหวังนั้นด้วยการจบชีวิต

แต่กลับกลายเป็นว่าคนขายกางเกงยีนให้พวกเขา กลับกลายเป็นมหาเศรษฐี และสร้างธุรกิจที่ยังคงดำเนินต่อไปได้ แม้จะผ่านมาเกือบ 170 ปีแล้วก็ตาม…

 

 

ร่วมแสดงความคิดเห็นได้ที่

 

ที่มา:

www.levistrauss.com/levis-history/

www.britannica.com/topic/Levi-Strauss-and-Co

www.smithsonianmag.com/smithsonian-institution/the-origin-of-blue-jeans-89612175/

www.historyofjeans.com/

Advertisement

แสดงความคิดเห็น...