เมื่อ J.K. Rowling พูดต่อว่า “ไลฟ์โค้ช” ว่าไม่ได้สร้างกำลังใจ แต่เป็นการดูถูกเหยียดยาม

หลายคนน่าจะรู้จัก J.K. Rowling นักเขียนชื่อดังชาวอังกฤษผู้เป็นเจ้าของผลงาน Harry Potter ซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก

ในช่วงนี้ที่อังกฤษกำลังประสบปัญหาโรคระบาดโควิด-19 อย่างหนัก ทางภาครัฐก็มีมาตรการล็อกดาวน์และ Social Distancing คล้ายกันกับในประเทศไทย

ในช่วงที่หลายคนต้องอยู่กับบ้าน ไปไหนไม่ค่อยสะดวกนี้ จึงมีเหล่า “ไลฟ์โค้ช” หลายคนที่ออกมาสร้างคอนเทนต์ให้คนรู้จักเรียนรู้ สร้างทักษะ หรือหาอาชีพใหม่ๆ ระหว่างที่คนกักตัวอยู่บ้าน

ซึ่งดูเหมือนว่า J.K. Rowling เองจะไม่ค่อยพอใจในเรื่องดังกล่าว ที่ไลฟ์โค้ชพากันสื่อออกมา

ย้อนกลับไปในช่วงสัปดาห์ก่อน เธอโพสต์ทวิตเตอร์แสดงความคิดเห็นเอาไว้ 3 ประเด็นหลักๆ ซึ่งขอสรุปดังนี้

 

 

ประเด็นแรก เธอบอกว่า…

“ถ้าคุณเป็นไลฟ์โค้ช ที่กำลังมองว่าคนอื่นๆ จะเป็น ‘ไอ้ขี้แพ้’ ถ้าพวกเขาไม่ฝึกทักษะใหม่ๆ หรือสร้างแบรนด์ ทำอาชีพเสริมในช่วงที่เกิดการล็อกดาวน์

คุณควรจะหยุดตราหน้าคนอื่นแบบนั้น

คนเราต่างก็มีเรื่องยากลำบากในชีวิต ที่คุณเองก็ไม่รู้จักพวกเขาเลย บางทีการเอาชีวิตรอดในแต่ละวัน มันก็ยากลำบากมากแล้ว”

No quote tweeting, but if you're a 'life coach' who's on here implying people are losers if they aren't learning a new skill/building a brand while on lockdown, maybe stop. People have challenges you know nothing about. Sometimes getting through something is more than enough.

— J.K. Rowling (@jk_rowling) April 3, 2020

 

เมื่อโพสต์ทวิตเตอร์อันแรก กลายเป็นกระแสดัง ก็เกิดการโต้เถียงและมีความเห็นแตกต่างกันขึ้นมา

จากนั้น J.K. Rowling จึงมาโพสต์เพิ่มเติมว่าสิ่งที่ไลฟ์โค้ชทำไม่ใช่การกระตุ้น แต่คือการเหยียบย่ำจุดอ่อนของคนเหล่านั้นต่างหาก

“การที่ไปบอกว่าคนอื่นนั้นขี้เกียจ หรือไม่มีแรงกระตุ้นทำสิ่งใหม่ๆ แค่เพียงเพราะพวกเขาไม่ได้ทำอะไรที่มันเจ๋งๆ ขึ้นมา

นั่นไม่ใช่การให้แรงบันดาลใจ นั่นคือการพูดจาเหยียดหยามพวกเขา

ถ้าการได้ทำอะไรใหม่ๆ แบบที่ว่ามา ช่วยให้คนหายซึมเศร้าได้ คงไม่มีคนรวยหรือคนขยันทำงานต้องฆ่าตัวตายหรอก

คนที่เศร้าโศกและมีความกังวลใจ นั้นไม่ใช่คนอ่อนแอเสมอไป”

Implying that people are lazy or unmotivated if they aren't knocking out masterpieces daily isn't inspiration, it's a form of shaming. If endless distraction cured depression, no rich person or workaholic would ever have killed themselves. Sadness and anxiety aren't weaknesses /1 pic.twitter.com/cYQUQElrXL

— J.K. Rowling (@jk_rowling) April 3, 2020

 

สุดท้าย J.K. Rowling มองว่าคนที่รู้สึกกลัว หรือไม่ได้พัฒนาตัวเองตลอดเวลา ก็คือคนปกติทั่วไป ไม่ใช่คนอ่อนแอแต่อย่างใด

“มันเป็นเรื่องปกติของมนุษย์ ที่จะตอบสนองต่อความยากลำบากและภัยอันตราย

การที่เราปล่อยให้ตัวเองได้มีความรู้สึก และยอมรับว่าตัวเองก็กลัวเป็น ตัวเองก็อ่อนแอเป็น นั้นยิ่งเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพจิตของเราเอง

ดีกว่าที่จะไปพยายามทำตัวเองให้เก่งและเป็นยอดมนุษย์ตลอดเวลาด้วย…”

they're a natural human response to difficulty and danger. Allowing ourselves to feel what we feel, and acknowledging that we have good reason to feel that way, is a better route back to good mental health than beating ourselves up for not being superhuman. /2

— J.K. Rowling (@jk_rowling) April 3, 2020

 

ไม่ว่าจะที่อังกฤษหรือไทย เรามักจะเห็นคลิปวิดีโอที่สอนให้เรารู้จักเปลี่ยนแปลงและปรับตัว ดิ้นรนต่อสู้กับความยากลำบากในช่วงที่มีเหตุการณ์ไม่ปกติแบบนี้ขึ้น

สำหรับผมเองแล้ว จริงอยู่ที่การเรียนรู้และปรับตัวเป็นสิ่งที่ดี แต่นั่นก็แค่ “ทางเลือกหนึ่ง” ในชีวิต

เราอาจจะเรียนรู้สิ่งที่น่าสนใจ แต่พอเรียนรู้มันแล้วกลับพบว่าไม่ชอบสิ่งนั้น หรือมันยากไปจนเกิดความเครียดขึ้นมา

วันถัดไปเราอาจจะนอนตีพุงเล่นเกมกับเพื่อนสนิทวัยมัธยม เพื่อทำให้รู้สึกสนุก รู้สึกเครียดน้อยลง ก่อนที่จะกลับไปเผชิญกับความยากลำบากอีกครั้ง นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิดอะไร

กลับกัน การพยายามตอกย้ำว่าเขาคนนั้นคือ “คนขี้แพ้” เพราะยังทำบางสิ่งไม่สำเร็จ กลับเป็นการบั่นทอนจิตใจเขาเหล่านั้นลงไปอีก

 

หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่า..

J.K. Rowling เริ่มเขียนนิยาย Harry Potter ในปี 1993 แต่กว่าจะได้ตีพิมพ์ก็คืออีก 4 ปีหลังจากนั้น

ตลอดระยะเวลา 2 ปีในการแต่งนิยาย เธอใช้ชีวิตเป็นแม่เลี้ยงเดียว หลังจากเลิกรากับสามี ใช้ชีวิตในแฟลตเล็กๆ ไม่มีงานประจำ และรับเงินช่วยเหลือคนตกงานจากรัฐบาล

ชีวิตประจำวันก็คือการตื่นมา เลี้ยงลูก พาลูกไปเดินเล่น แล้วลงเอยด้วยการนั่งแต่งนิยายในร้านกาแฟ ระหว่างที่ลูกนอนกลางวัน

หลังจากแต่งนิยายเสร็จในปี 1995 เธอก็เที่ยวนำเสนอไปยังสำนักพิมพ์ต่างๆ ถูกปฏิเสธถึง 12 แห่ง

ก่อนที่สำนักพิมพ์แห่ง 13 ที่ซึ่งมีชื่อว่า Bloomsbury จะยินดีตีพิมพ์นิยายให้ แต่กว่าจะได้ออกขายก็คือปี 1997

 

 

ถ้าคนนอกมองเข้ามาในชีวิตของ J.K. ตอนนั้นจะมองอย่างไร!?

แม่เลี้ยงเดี่ยว ไม่ทำงาน รับเงินจากรัฐ วันๆ ก็เอาแต่ไปขลุกตัวอยู่ในคาเฟ่…

คุณจะมองเธอเป็น “คนขี้แพ้” หรือไม่!?

 

เชื่อว่าสิ่งที่ J.K. Rowling สื่อออกมา เธอก็คงเข้าใจหัวอกของกลุ่มคนที่ถูกมองว่าไม่พัฒนาตัวเอง ไม่ยอมเรียนรู้อะไรใหม่ๆ

ทั้งที่บางครั้ง.. ชีวิตของคนกลุ่มนั้น ก็มีความยากลำบาก มีสิ่งที่ต้องเผชิญ และก็มี “เป้าหมาย” ในแบบของเขาเอง

 

ปัจจุบัน J.K. Rowling  ถูกประเมินว่ามีทรัพย์สินประมาณ 30,000 ล้านบาท และเธอไม่จำเป็นต้องรับเงินช่วยเหลือจากทางภาครัฐอีกต่อไปแล้ว….

 

 

 

ติดตาม Billion Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง

– เริ่มจากช่องทางใหม่ล่าสุด อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionmindset.ig/

– ตามต่อในทวิตเตอร์ https://twitter.com/Billion_Twit

– ติดตามเพจ Billion Mindset – แนวคิดพันล้าน อย่าลืมตั้งค่า See First เพื่อไม่ให้พลาดทุกโพสต์ใหม่นะครับ!!

Advertisement

แสดงความคิดเห็น...