Facebook
Twitter
LINE

ยุคนี้การวัดเศรษฐีเงินล้าน กลายเป็นเรื่องล้าสมัยไปแล้ว

เพราะสิ่งที่น่าติดตามกว่าก็คือการวัดเศรษฐีระดับ Billionaire

นั่นคือกลุ่มที่มีทรัพย์สินเกิน 1,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 30,000 ล้านบาทขึ้นไป)

คุณคิดว่าประเทศไหนมีเหล่ามหาเศรษฐีเยอะที่สุด

ตอนนี้คำตอบก็ยังคงเป็น สหรัฐอเมริกา ที่ครองแชมป์มาแสนนาน

แต่อนาคตมันกำลังจะเปลี่ยนไปแล้ว…

 

 

ย้อนกลับไปเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน

เหล่า Billionaire สัญชาติจีนมีอยู่เพียง 16 คนเท่านั้น

แต่เนื่องจากการเติบโตทั้งทางภาคอุตสาหกรรม และด้านเทคโนโลยีในช่วงหลัง

เป็นตัวเร่งให้เกิด “ความร่ำรวยมหาศาล” ขึ้นมาในประเทศจีน

 

โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีหลัง

จำนวน Billionaire ในจีนขยับขึ้นจาก 123 คน ในปี 2012

กลายมาเป็น 373 คนในปี 2017

นอกจากจะเพิ่มขึ้นมากถึง 3 เท่าตัวแล้ว

หากเรานับเฉพาะปีล่าสุด มีจำนวนมหาเศรษฐีหน้าใหม่ที่เข้าระดับ Billionaire จำนวน 106 คน

เฉลี่ยแล้วทุกๆ 3 วัน จะมีคนจีนรวยขึ้นจนแตะระดับนี้ 1 คนเลยทีเดียว

 

ตัวเลขที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ

จำนวน Billionaire ของจีนมีอัตราเติบโตที่สูงกว่าทางฝั่งสหรัฐอเมริกา

แม้ปัจจุบันจำนวนจะต่างกันอยู่ระหว่าง 585 และ 373 คน

แต่ด้วยการเติบโตระดับนี้ คาดการณ์ว่าภายในอีก 3 ปีข้างหน้า

ตัวเลขของมหาเศรษฐีในจีน จะแซงหน้าสหรัฐอเมริกาได้ในที่สุด

 

ตัวเลขเปรียบเทียบจำนวน Billionaire จีน vs สหรัฐอเมริกา

จีนมีมหาเศรษฐีใหม่เพิ่มขึ้นในปี 2017 จำนวน 106 คน แต่มีคนทรัพย์สินลดลง 51 คน จึงมียอดเพิ่มสุทธิ 55 คน

 

กระแสความร่ำรวยกำลังไหลมาทางเอเชียจริงหรือ??

ข้อมูลนี้ตรงกับการจัดอันดับอีกอย่างของสถาบัน Wealth-X

ซึ่งทำการจัดอันดับเศรษฐีที่มีทรัพย์สินเกิน 30 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 940 ล้านบาท)

พบว่า “ฮ่องกง” กลายเป็นเมืองที่มีคนรวยมากที่สุดในโลก

แซงหน้า “นิวยอร์ก” ได้สำเร็จเป็นครั้งแรก

ด้วยการเพิ่มขึ้นของเหล่าคนรวยกว่า 31% มีตัวเลขเบ็ดเสร็จประมาณ 10,000 คนเลยทีเดียว

ขณะที่นิวยอร์กที่ได้อันดับสองนั้น มีมหาเศรษฐีระดับนี้ประมาณ 9,000 คน

ยิ่งเป็นการตอกย้ำข้อมูลในส่วนที่ว่า ความร่ำรวยกำลังค่อยๆ เพิ่มพูนขึ้นในฝั่งเอเชียนั้นเป็นเรื่องจริง

 

คนจีนรวยแล้วเอาเงินไปไหน??

คำถามที่น่าสนใจไม่แพ้เรื่องรวยได้อย่างไร คือเรื่องของการลงทุนต่อจากนั้น

พบว่านอกจากการทำธุรกิจด้านเทคโนโลยีซึ่งเศรษฐีจีนรุ่นใหม่นิยมกันแล้ว

ยังมีการนำเงินไปลงทุนกับบริษัท และอสังหาริมทรัพย์ในฝั่งอเมริกา-ยุโรป เป็นจำนวนไม่น้อย

โดยมีตัวเลขเม็ดเงินจากเศรษฐีจีน เข้ามาลงทุนในสหรัฐอเมริการวมกันถึง 1.49 ล้านล้านบาท ในปี 2016

ก่อนที่ “สงครามการค้า” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จะทำให้ยอดการลงทุนของชาวจีนในปี 2017-2018 ลดลง

ในปี 2017 มีเม็ดเงินลงทุนจากเศรษฐีจีนในสหรัฐเหลือ 940,000 ล้านบาท

และครึ่งปีแรกของปี 2018 คาดว่าตัวเลขเหลือเพียง 60,000 ล้านบาทเท่านั้น

 

ตัวอย่างของนักลงทุนชาวจีน สามารถดูได้ผ่าน Pony Ma เจ้าของธุรกิจ Tencent

หลังบริษัทเติบโตจากธุรกิจเกมออนไลน์ โปรแกรมแชท และแอพพลิเคชั่นจากตลาดในประเทศ

ก็เริ่มนำเม็ดเงินเข้าไปลงทุนในธุรกิจด้านเทคโนโลยีต่างๆ รอบโลก

โดยเฉพาะธุรกิจเกม ซึ่งเป็นธุรกิจทำเงินหลักของ Tencent มีการไปลงทุนค่ายเกมใหญ่ทุกค่ายทั่วโลก

ทั้ง Riot Games, Epic Games, Ubisoft หรือ Blizzard

รวมถึงธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และเว็บไซต์ในประเทศต่างๆ

ยกตัวอย่างให้เห็นภาพก็ Sanook เว็บไซต์ที่มีคนเข้ามากที่สุดในไทย

หรือ Shopee เว็บไซต์ซื้อขายของชื่อดัง ก็เป็นของบริษัทลูกด้วยเช่นกัน

นอกจากนั้นยังมีการลงทุนในบริษัทใหญ่ในตลาดหุ้นอเมริกา

อย่างเช่น Snap เจ้าของแอพ Snapchat

หรือค่ายรถยนต์ไฟฟ้า Tesla ที่เรารู้จักกันดี ก็ถือหุ้นไว้ประมาณ 5% คิดเป็นมูลค่าถึง 55,000 ล้านบาทเลยทีเดียว

 

ธุรกิจเกมของ Tencent

 

เราเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้…??

หากมองให้เป็นวิกฤต การเติบโตของจีน จะทำให้หลายธุรกิจที่ไม่เคยสนใจจีนต้องปรับตัว

และเอาใจลูกค้าจากทางฝั่งจีน ที่มีศักยภาพในการซื้อมากขึ้น

หากปรับไม่ทัน ยังคงรับแต่ลูกค้าเดิม ซึ่งมีศักยภาพในการซื้อน้อยลง แล้วปฏิเสธตลาดใหม่

นั่นคือการเสียโอกาส หรือถึงขั้นทำให้ธุรกิจนั้นจะอยู่ไม่รอด…

 

หากมองให้เป็นโอกาส จีนมีประชากรกว่า 1,300 ล้านคน นับเป็นตลาดบริโภคที่ใหญ่มาก

ถ้าคนเหล่านั้นรวยขึ้น แสดงว่าย่อมมากับความต้องการสินค้าที่มากขึ้น

เดิมที่คนไทยจะคุ้นชินการนำสินค้าราคาถูกจากจีนมาขายในไทย ถึงขั้นมีทัวร์เลือกของถูกมาขายโดยเฉพาะ

แต่ในไม่ช้า นี่อาจจะเป็นตลาดใหม่ที่ไทย สามารถนำสินค้าส่งไปขายเพื่อสร้างรายได้อย่างงดงามเช่นกัน

อะไรที่เรามี แล้วจีนไม่มี?? อะไรที่จีนทำไม่ได้?? อะไรที่คนจีนต้องการ??

ถ้าหามันเจอ อาจจะเป็นขุมทรัพย์สู่ความสำเร็จในอีกหลายสิบปีข้างหน้าก็เป็นได้….

 

 

ติดตาม Billionaire Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง

– เริ่มจากช่องทางใหม่ล่าสุด อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionairethai/

– ตามต่อในทวิตเตอร์ https://twitter.com/BillionaireThai

– ถ้าเล่นแต่ไลน์ ก็ส่งบทความให้คุณทุกวันที่ @BillionaireMindset

– ติดตามเพจ Billionaire Mindset – แนวคิดพันล้าน อย่าลืมตั้งค่า See First เพื่อไม่ให้พลาดทุกโพสต์ใหม่นะครับ!!

 

ที่มา:

https://money.cnn.com/2018/09/06/investing/world-richest-people-cities/

https://www.businessinsider.com/china-leading-in-ubs-billionaire-report-2018-10

https://money.cnn.com/2018/06/20/investing/chinese-investment-united-states-falls/index.html

www.fool.com/investing/2018/02/13/tencent-owns-stakes-in-these-4-us-companies.aspx

www.cnbc.com/2017/03/28/messaging-app-parent-tencent-takes-stake-in-tesla.html

Advertisement

แสดงความคิดเห็น...