Facebook
Twitter
LINE

 

Sportify และ Apple Music คือบริการที่ให้คุณได้ฟังเพลงออนไลน์อย่างถูกลิขสิทธิ์ จนมีผู้ใช้บริการนับร้อยล้านคนทั่วโลก

แม้ซีอีโออย่าง Tim Cook จะเพิ่งบอกว่า Apple Music ทำเพื่อคนรักดนตรีโดยไม่หวังกำไรมากนัก และยังเร็วไปที่จะแข่งกับ Sportify

แต่สื่อต่างๆ ก็จับจ้องทั้งสอง และหยิบยกมาพูดถึงกันอยู่บ่อยครั้ง เราเลยจะถือโอกาสเขียนถึงบริการจาก 2 ค่ายนี้ให้ได้อ่านกันครับ…

 

ในแง่ของจำนวนผู้ใช้บริการ

Sportify มียอดผู้ใช้ทั่วโลก 170 ล้านคน โดยเป็นสมาชิกแบบเสียเงินประมาณ 80 ล้านคน

Apple Music มีผู้ใช้บริการประมาณ 50 ล้านคน

ซึ่ง Sportify มีทั้งบริการแบบจ่ายเงินและสมัครสมาชิกรายเดือน ขณะที่ Apple Music จะต้องจ่ายเงินเพื่อใช้บริการเท่านั้น

 

ข้อสังเกตที่น่าสนใจก็คือ

Apple Music เพิ่งตกเป็นข่าวเมื่อเดือนก่อน ว่ามีผู้ใช้บริการในสหรัฐอเมริกา แซงหน้า Sportify ที่ 20 ล้านคนได้สำเร็จ

จึงพออนุมานได้ว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่ของ Sportify นั้นกระจายอยู่ทั่วโลก ขณะที่เกือบครึ่งหนึ่งของคนใช้ Apple Music นั้นคือคนอเมริกัน

 

Martin Lorentzon และ Daniel Ek ผู้ก่อตั้ง Spotify

 

จำนวนเพลง!?

Sportify ระบุว่ามีเพลงมากกว่า 30 ล้านเพลง

ในขณะที่ Apple Music ระบุว่ามีเพลงให้ฟังถึง 40 ล้านเพลง

ลองคิดเล่นๆ ว่าเพลงละ 3 นาที นั่งเปิดฟังวนให้หมดทุกเพลง ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 171 ปีเลยทีเดียว

 

ทำรายได้มากแค่ไหน!?

Apple Music เรียกเก็บค่าบริการ 9.99 เหรียญหรือประมาณ 329 บาทต่อเดือน ในขณะที่ค่าบริการในไทยก็ถูกกว่าอยู่ที่ 129 บาทต่อเดือน

ลองคิดคราวๆที่ 200 บาทต่อเดือน (เอาน่า ปัดให้มันกลมๆ สะดวกดี)

กับยอดผู้ใช้บริการล่าสุด 50 ล้านคน (และเติบโตขึ้นเรื่อยๆ)

เท่ากับว่า Apple Music จะทำรายได้ 10,000 ล้านบาทต่อเดือน

หรือ 120,000 ล้านบาทต่อปีเลยทีเดียว!!

 

ในขณะที่ Sportify รายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปีนี้ 44,880 ล้านบาท

โดยที่พวกเขาคาดว่าจะมีรายได้ทั้งปีอยู่ที่ 214,500 ล้านบาท

จากรายได้ในไตรมาสแรก มีกำไรขั้นต้นประมาณ 25%  ที่ 11,220 ล้านบาท

แต่เมื่อสรุปผลประกอบการณ์แล้วขาดทุนไปประมาณ 1,500 ล้านบาท

 

มูลค่าของบริษัท!?

Sportify มีมูลค่าทางตลาดอยู่ที่ประมาณ 1,000,000 ล้านบาท

Apple Music ถูกประเมินไว้ว่ามีมูลค่าราว 330,000 ล้านบาท

มูลค่าต่างกันราว 3 เท่า

แต่อย่าลืมว่า Apple Music เปิดให้บริการทีหลัง Sportify ถึง 9 ปี

 

ทิศทางในอนาคต!?

Apple Music คือหนึ่งในบริการด้าน Service ที่สร้างรายได้ให้แก่บริษัท Apple อย่างมากในช่วงหลัง

แต่อย่างไรก็ตาม

Apple มีมูลค่ากว่า 1 ล้านล้านเหรียญ ขณะที่ Apple Music มีมูลค่า 1 หมื่นเหรียญ

มูลค่าของ Apple Music นั้นยังเป็นเพียงแค่ 1% ของบริษัทเท่านั้น หรือต่างกันเกือบ 100 เท่า

แต่จากการเติบโตของผู้ใช้ และการเอาใจใส่ของ Apple ที่คอยหนุนเต็มที่ จึงคาดว่าบริการดังกล่าวสามารถคงอยู่ไปได้หากบริษัทยังคงทำยอดขายสมาร์ทโฟนได้ดีเช่นเดิม

 

ถ้าพูดถึงพลังเงินหนุนหลัง นับว่า Apple Music มีแบ็คอัพที่ใหญ่กว่ามาก

 

และสิ่งสำคัญอีกอย่างคือ Sportify ยังไม่มีกำไร!!

Sportify สร้างประสบการณ์การฟังเพลงที่ดีให้กับผู้ใช้ และมอบส่วนแบ่งที่ดีให้กับเหล่าศิลปิน จึงได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก

แน่นอนว่าพวกเขาอาจจะพยายามครองตลาดไว้ให้ได้มากที่สุด จนถึงจุดหนึ่งที่ผู้ใช้งานมหาศาลอยู่ตัวแล้ว จะสามารถทำกำไรจากผู้ใช้ได้ เหมือนอีกหลายบริษัทในยุคปัจจุบัน ที่ใช้กลยุทธแบบนี้เช่นเดียวกัน

แต่สิ่งหนึ่งที่นักวิเคราะห์มองเอาไว้ก็คือ บริษัทนั้นไม่สามารถหาทางทำกำไรจากยอดผู้ใช้ที่มีอยู่มหาศาลได้ และสิ่งนี้อาจจะเป็นปัญหาในอนาคตถ้ายังเป็นแบบนี้อีกนานวัน

เมื่อวันหนึ่งที่สภาพคล่องขาดมือ หรือความเชื่อมั่นของนักลงทุนหายไป พวกเขาจะยังอยู่ได้หรือไม่!?

เพราะอย่าง Apple Music ที่มีบริษัท Apple คอยหนุนหลังอยู่ และอีกหนึ่งบริการฟังเพลงออนไลน์ที่ฮิตเช่นกันนั่นก็คือ…

 

YouTube บริการฟังเพลงออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก กับผู้ใช้งาน 1,500 ล้านคน

มากกว่า Spotify 10 เท่า

มากกว่า Apple Music 30 เท่า

อย่างที่ทราบกันว่า YouTube นั้นไม่มีกำไรเช่นเดียวกับ Sportify เพราะมุ่งเน้นการครองส่วนแบ่งทางตลาด ซึ่งแม้เนื้อหาหลักแม้จะเป็นวิดีโอ แต่คอนเท้นต์ที่ถูกเปิดมากที่สุดก็คือ “เพลง” นั่นเอง

แต่… YouTube ต่างจาก Sportify ตรงที่บริษัทซึ่งหนุนหลังอยู่ชื่อว่า Google

Google มีมูลค่าทางตลาด 868,000 ล้านเหรียญ ใหญ่เบิ้มพอๆ กับ Apple เลยทีเดียว

 

YouTube คือศูนย์รวมความบันเทิงในรูปแบบวิดีโออันดับหนึ่งของโลก

 

เพราะฉะนั้นนี่อาจจะเป็นงานยากของ Sportify ที่สักวันหนึ่งจะต้องถึงเวลาที่จะต้องเลือกระหว่าง “ประสบการณ์ที่ดีของผู้ใช้” และ “กำไรของนักลงทุน” ซึ่งถ้าวันนั้นมาถึง คนจำนวนมหาศาลนี้จะยังคงใช้อยู่ไหม

ธุรกิจของเราทุกคนก็เหมือนกันนะครับ เชื่อว่าทุกคนเคยผ่านจุดที่ต้องสร้างสมดุลระหว่าง 2 สิ่งดังกล่าว

ยิ่งถ้าทำให้ทั้งประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า และตัวเลขกำไร เพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกันได้แล้วนั้น นับเป็นธุรกิจในฝันอย่างยิ่ง

แต่ถ้าหากทั้ง 2 สิ่งนั้นล้วนแต่ตกลงทั้งคู่ งานนั้นคงถึงเวลาแยกย้าย ตัวใครตัวมันแล้วแหละครับ…

 

ปล. Google และ Apple ต่างก็มีบริการสตรีมมิ่งเพลงของตัวเองแล้วนะ คิดสิคิดว่ามีเจ้าใหญ่ไหนที่ยังไม่มีบริการดังกล่าว!?

ติ๊งต่อง.. ตัดภาพไปที่พี่ Mark ยืนยิ้มอยู่ ^^

 

Advertisement

แสดงความคิดเห็น...