สโลแกน “หิวเมื่อไรก็แวะมา” อาจจะเปลี่ยนเป็น “หิวเมื่อไรก็ไลน์มา” ในอนาคตอันใกล้…
เมื่อมีธุรกิจบริการส่งอาหารเกิดขึ้นมากมายในช่วงหลัง
ทำให้เจ้าใหญ่ในตลาดร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven ต้องหาทางปรับตัวด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้จะเห็นว่ามีการร่วมมือกับเจ้าอื่นๆ เช่น Grab หรือ Line Man ในการส่งสินค้า
แต่จะพึ่งพาผู้อื่นตลอดไปมันก็คงไม่สะดวกสบายนัก
จะเป็นอย่างไรถ้า 7-Eleven ลงมาเล่นในตลาดเดลิเวอรี่ด้วยตัวเอง??
7-Eleven Delivery คืออะไร??
รายงานจากประชาชาติธุรกิจ ระบุว่าเบื้องต้นมีการทดลองใช้ในไม่กี่สาขา
และแม้ร้านค้าจะเปิด 24 ชั่วโมง แต่บริการเดลิเวอรี่
ยังจะทดลองใช้ในช่วง 6 โมงเช้า ถึง 4 ทุ่มเท่านั้น
ขั้นตอนการใช้บริการ ลูกค้าในเขตที่กำหนด ต้องแอดไลน์ของร้าน 7-Eleven สาขานั้นเอาไว้
การสั่งของไม่ได้ใช้ระบบอะไรเป็นพิเศษ แต่ใช้วิธีการ “แชท” คุยกับพนักงานที่ดูแลแอคเคาท์ไลน์ของร้าน
ลูกค้าสามารถสั่งได้ทุกอย่างในร้าน ทั้งของใช้ ขนม อาหาร เครื่องดื่มชงสดใหม่ หรือให้พนักงานอุ่นอาหารไปให้เลยหรือไม่
ถ้าใครสั่งเกิน 100 บาท ก็แถมบริการส่งฟรีภายในเวลา 30 นาที
นอกจากนี้ยังสามารถเลือกจ่ายได้ทั้งเงินสดและแบบทรูวัลเลต (ซึ่งบริษัทก็เป็นเจ้าของระบบจ่ายเงินด้วยเช่นกัน)
นี่คือการตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่…
เราน่าจะคาดเดากันได้ไม่ยากว่า เทรนด์ของ “เดลิเวอรี่” เติบโตสูงมากในช่วงหลัง
เพราะคนรุ่นใหม่ชอบความสะดวกสบายกันมากขึ้น
บางครั้งคนทำงานออฟฟิศ ก็อยากจะนั่งทำงานต่อ หรือขี้เกียจออกไปซื้ออาหารกลางวันทาน ก็อาศัยสั่งออนไลน์
ในวันหยุด เมื่ออยู่บ้านแล้วก็อยากจะพักผ่อนให้เต็มที่ ไม่อยากจะออกไปไหน ก็อาศัยสั่งอาหารมากินที่บ้านแทน
บริการส่งอาหาร ส่งของ หรือจ้างทำนู่นทำนี่ จึงผุดขึ้นมาแข่งกันเป็นจำนวนมาก
ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่าปี 2559 ตลาดของธุรกิจส่งอาหารมีมูลค่า 23,500 ล้านบาท
พอปี 2560 มูลค่าตลาด 26,000-27,000 ล้านบาท
และในปี 2561 นี้ ก็น่าจะมีมูลค่าสูงถึง 28,000-29,000 ล้านบาทแล้ว
อัตราการเติบโตสูงถึงปีละ 10-15%
ซึ่งทำให้ในอีก 5 ปีข้างหน้า ตลาดตรงนี้อาจจะสูงถึง 50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่น้อยเลย
ลองเทียบกับ “ธุรกิจร้านอาหาร”
ตลาดร้านอาหาร แม้จะมีมูลค่าถึง 390,000 ล้านบาท แต่ก็เติบโตขึ้นเพียง 2-4% ต่อปี
การเติบโตนี้เพิ่มขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ และการเพิ่มขึ้นของประชากรในประเทศ
นั่นหมายความว่า “ธุรกิจส่งอาหาร” มีความต้องการใช้บริการเพิ่มขึ้น แถมยังมีธุรกิจใหม่ๆ เข้ามาเปิดมากกว่า “ธุรกิจร้านอาหาร” อีกด้วย
เพราะรูปแบบการบริโภคของคนยุคใหม่ได้เปลี่ยนไปแล้วนั่นเอง
การปรับตัวของ “ร้านอาหาร” ในโลกที่เปลี่ยนไป…
ร้านอาหารหลายแห่ง ที่ไม่สะดวกในการจ้างคนงานมาเพื่อส่งโดยเฉพาะ
ก็ปรับตัวด้วยการเลือกเป็นพันธมิตรกับบริการส่งอาหาร เช่น Foodpanda แทน
แต่ข้อเสียเล็กน้อยที่เกิดขึ้นคือ ค่าบริการส่งเพิ่มเติม ทำให้ผู้บริโภครู้สึกว่าต้องซื้ออาหารที่แพงขึ้น
บางร้านเลือกเปิดบริการเดลิเวอรี่เอง จ้างคนงานมาทำ ซึ่งหลายที่พอหักลบกับค่าจ้าง ก็พบว่ามีกำไรมากยิ่งขึ้น
หรือจะยกตัวอย่างในกรณีของร้านกาแฟ Luckin Coffee ในประเทศจีน
ร้านแห่งนี้ได้รับความนิยม เพราะสามารถสั่งกาแฟและของกินผ่านแอพในโทรศัพท์มือถือ
จากนั้นสาขาที่ใกล้ที่สุด ก็จะเอาของที่สั่งไปส่งให้ลูกค้าภายในเวลาไม่เกิน 30 นาที
ซึ่งแม้จะเปิดบริการมาได้แค่ 9 เดือน แต่ตอนนี้ก็มีถึง 900 สาขาแล้ว
เพราะทางร้านตั้งเป้าว่าจะเปิดไปให้มากที่สุด เพื่อให้เข้าถึงลูกค้าได้ทุกที่ ไม่ว่าจะสั่งจากมุมใดของเมืองไหนก็ตาม
เพราะนี่คือโลกแห่งเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลง…
ต้องยอมรับว่าหลายๆ อย่าง ทำให้การดำเนินธุรกิจสะดวกสบายขึ้น เกิดรูปแบบธุรกิจใหม่ เกิดเศรษฐีออนไลน์ขึ้นมากมาย
แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันทำให้ “พฤติกรรมของผู้บริโภค” เปลี่ยนไปจากอดีตด้วยเช่นกัน
วันนี้คุณเข้าใจผู้บริโภคของธุรกิจตัวเองมากน้อยแค่ไหน
คุณรู้ไหมว่ามีลูกค้ากี่คนที่อยากกินไก่ทอดหาดใหญ่ร้านคุณ แต่ขี้เกียจมาซื้อเพราะอากาศร้อน
คุณรู้ไหมว่ามีลูกค้าต้องการกาแฟของเราไปเติมพลังทำงานยามบ่าย แต่ร้านอยู่ไกลไป ก็เลยซื้อเจ้าที่ไม่อร่อยแต่ใกล้ออฟฟิศแทน
เพราะฉะนั้น… การเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคของเราเอง จึงเป็นอีกหนึ่งสิ่งสำคัญ ที่ไม่ควรมองข้าม
เหมือนกับที่ 7-Eleven เปิดบริการเดลิเวอรี่ นั่นก็เพราะพวกเขารู้ว่ากลุ่มลูกค้าหลัก คือคนที่อยาก “อิ่มสะดวก”
เมื่อเขาต้องการความสะดวก ก็เอาความสะดวกไปป้อนให้เขา
ก่อนหน้านี้เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ เคยออกมาให้สัมภาษณ์เอาไว้ว่า 7-Eleven จะต้องปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ยุคใหม่
โดยเฉพาะเรื่องของ “การเดลิเวอรี่” ไม่ช้าก็เร็ว ร้านก็ต้องเปิดบริการนี้
เนื่องจากโลกของธุรกิจ ถ้าร้าน 7-Eleven ไม่ทำเอง สุดท้ายก็จะมีเจ้าอื่นๆ เข้ามาทำตรงจุดนี้
แล้วก็คว้าเอา “กำไร” กับ “ความถูกใจของผู้บริโภค” ไปแทน
ถ้าเราเป็นเจ้าของร้าน เราจะเลือกแบบไหน??
เราจะเลือกทำเอง.. หรือเราจะปล่อยให้คนอื่นมาทำแทน??
แล้วถ้าคุณเป็นลูกค้าจะเลือกแบบไหน?? ระหว่าง
นั่งวินมอเตอร์ไซค์ 20 บาทไปปากซอย เพื่อซื้อของราคา 200 บาท
สั่งผ่านแอพอื่น ซึ่งอาจจะมีค่าบริการเพิ่มเติมมาอีก 40-50 บาท กลายเป็นเสีย 250 บาท
หรือจะสั่งผ่าน 7-Eleven สาขานั้นโดยตรง จ่ายราคาปกติ แถมมีคนมาส่งถึงหน้าบ้านฟรีๆ
คำตอบก็คงเลือกได้ไม่ยากเช่นกัน…
อ่านเพิ่มเติม:
สรุปแนวคิด “ธนินท์ เจียรวนนท์” ซีพีพร้อมทำนา-เปิดร้านอาหาร-สร้างสมาร์ทซิตี้ในไทย
กรณีศึกษา Luckin Coffee ร้านกาแฟมูลค่า 30,000 ล้าน ทั้งที่เพิ่งเปิดมา 9 เดือน??
ติดตาม Billionaire Mindset ได้ในหลากหลายช่องทาง
– เริ่มจากช่องทางใหม่ล่าสุด อินสตาแกรม https://www.instagram.com/billionairethai/
– ตามต่อในทวิตเตอร์ https://twitter.com/BillionaireThai
– ถ้าเล่นแต่ไลน์ ก็ส่งบทความให้คุณทุกวันที่ @BillionaireMindset
– ติดตามเพจ Billionaire Mindset – แนวคิดพันล้าน อย่าลืมตั้งค่า See First เพื่อไม่ให้พลาดทุกโพสต์ใหม่นะครับ!!
ที่มา:
www.mxphone.net/230416-review-line-man-delivery-services/
www.prachachat.net/marketing/news-236599
www.kasikornresearch.com/InfoGraphic/Documents/2797_p.pdf
Matichon.Academy.Thailand/
Advertisement