หลายคนอาจจะได้เห็นข่าวความร่วมมือของจีน-รัสเซียครั้งล่าสุด ซึ่งวางแผนจะทำโครงการต่างๆ ด้วยกันมากถึง 73 โครงการ
รวมเงินลงทุน 3,000,000,000,000 บาท อ่านง่ายๆ ว่า สามล้านล้านบาท
พวกเขาจะทำอะไร?? แล้วมันเกี่ยวกับการที่สหรัฐคว่ำบาตรรัสเซีย แถมตั้งกำแพงภาษีจีนในช่วงนี้รึเปล่า??
เพจแนวคิดพันล้านจะสรุปประเด็นดังกล่าวให้ได้เข้าใจง่ายๆ ครับ…
– เรื่องนี้ต้องย้อนไปในปี 2012 ทั้งสองประเทศจัดตั้ง Russia-China Investment Fund เรียกสั้นๆ ว่า RCIF
– กองทุนดังกล่าวเป็นกองทุนบนความร่วมมือของบริษัทตัวแทนรัฐบาลจีน และตัวแทนรัฐบาลรัสเซีย
– นอกจากมีคนในภาครัฐ ยังประกอบไปด้วยผู้บริหารระดับสูงของบริษัทใหญ่ใน 2 ประเทศ รวมแล้ว 150 คน
– กองทุนดังกล่าวมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมการลงทุนในจีนและกลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียต
– โดยแบ่งเป็นลงทุนในจีน 30% ลงทุนในกลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียต 70%
– ก่อนหน้านี้ กองทุนดังกล่าว ก็ไปลงทุนในธุรกิจใหญ่ๆ เช่น
Magnit เครือห้างขายอาหารขนาดยักษ์
Lenta Ltd. ห้างขายของยักษ์ใหญ่อีกแห่ง
(เทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพ ก็เหมือนมาลงทุนทั้งเครือเซ็นทรัลและเดอะมอลล์บ้านเรานี่แหละครับ)
RFP Group บริษัทค้าไม้อันดับสองของรัสเซีย
บริษัทด้านการศึกษาออนไลน์
โครงการสะพานทางรถไฟขนาดใหญ่ ข้ามแม่น้ำอามูร์บนพรมแดนจีน-รัสเซีย
และบริษัทขนาดใหญ่อื่นๆ ในอุตสาหกรรมหลากหลายประเภท
พอเข้าใจกองทุนนี้เบื้องต้นแล้วนะครับ ทีนี้มาต่อกันเลย
– ล่าสุดหน่วยงานดังกล่าวก็เพิ่งจัดประชุมครั้งล่าสุดกันไปในสัปดาห์นี้ ที่เมืองวลาดิวอสต็อก
– หลังจากการประชุม พวกเขาก็ประกาศว่าจะมีการลงทุนร่วมกัน 73 โครงการ มูลค่าประมาณ 3 ล้านล้านบาท
– แถมบอกอีกว่าตอนนี้มีโครงการที่ลงทุนด้วยกันไปแล้ว 7 โครงการ รวมประมาณ 150,000 ล้านบาทแล้ว
นอกจากด้านอุตสาหกรรมและโปรเจ็คท์ก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่แล้ว
กองทุนดังกล่าวยังประกาศแผนลงทุนด้านเทคโนโลยีอีก 40,000 ล้าน ในโครงการ Russian Tushino Project Technology Park นอกกรุงมอสโก
เพื่อสร้างอุทยานเทคโนโลยีจีน-รัสเซีย ในการรับมือกับเทคโนโลยีของโลกอนาคตอีกด้วย
เรื่องนี้เกี่ยวกับสหรัฐอเมริกาอย่างไร??
– ก่อนหน้านี้ช่วงต้นเดือนสิงหาคม สหรัฐอเมริกาออกมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม ส่งผลกับการค้าของสองประเทศ
– ขณะที่จีน ก็โดนสหรัฐตั้งกำแพงภาษี 10% นั่นส่งผลกระทบถึงสินค้าส่งออกมูลค่า 6 ล้านล้านบาทในทันที
– พอปลายเดือนสิงหาคม ก็โดนเพิ่มกำแพงภาษีเป็น 25% ยิ่งกระทบไปใหญ่
การประกาศความร่วมมือในตัวเลขที่สูงขนาดนี้ จึงถูกคาดการณ์ว่ามีขึ้นเพื่อตอบโต้สหรัฐอเมริกาบ้าง
ยิ่งประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” กล่าวหลังการเข้าพบประธานาธิบดี “ปูติน”
โดยเขาระบุว่า จีนและรัสเซีย ควรร่วมมือกันต่อต้านการกีดกันทางการค้า และต่อต้านลัทธิที่ชอบดำเนินการอะไรฝ่ายเดียว
ประโยคดังกล่าวไม่ได้พูดถึงสหรัฐตรงๆ แต่เราคงเดาได้ไม่ยากว่าเป็นการแซะใคร?? (ฮ่า)
เมื่อยักษ์ใหญ่ฟาดฟันกัน…
สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยจีดีพีรวมกันถึง 627 ล้านล้านบาท
ขณะที่จีนและรัสเซีย มีจีดีพีรวมกันอยู่ที่ราว 445 ล้านล้านบาท
หากไทยจะเอามูลค่าของจีดีพี 15 ล้านล้านบาท ไปเทียบกับสามมหาอำนาจก็คงเป็นเรื่องเกินตัวไปหน่อย
ย้อนกลับมาที่ประเทศไทย
เราก็ต้องยอมรับว่าเราต้องปรับตัว
เพราะประเทศไทยยังคงต้องพึ่งพิงทั้ง 2 ด้าน ไม่สามารถทิ้งทางหนึ่งแล้วไปหาอีกทางได้
ท่ามกลางศึกของมหาอำนาจครั้งนี้ ไทยจะมองหาโอกาสที่จะเติบโตและพัฒนาประเทศไปในทิศทางใด
คงเป็นเรื่องที่เราต้องขบคิดกันหนักแน่นอน…
ที่มา:
www.rcif.com/portfolio-companies.htm
www.cnbc.com/2018/09/11/russia-china-consider-investments-worth-more-than-100-billion.html
www.bangkokbiznews.com/news/detail/812815
www.dailynews.co.th/foreign/662117
www.thaipost.net/main/detail/15075
https://tradingeconomics.com
Advertisement