Facebook
Twitter
LINE

หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าเมื่อไม่กี่วันนี้ RS ได้ลงทุนครั้งสำคัญ ด้วยเงินลงทุนถึง 675 ล้านบาท

โดยการลงทุนนี้ เป็นการนำเงินไปซื้อหุ้น 33% ของบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมการวิจัยพัฒนา ผลิตเครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณแห่งหนึ่ง

ที่สำคัญก็คือ ทำให้พวกเขาได้ถือใบอนุญาตในการผลิตและสกัดสินค้ากัญชง เทรนด์สินค้าที่กำลังได้รับความนิยมในยุคปัจจุบัน

เหตุผลอะไรที่ RS ต้องเข้าลงทุน? และจะส่งผลอย่างไรต่ออนาคตของบริษัท? มาติดตามสรุปข้อมูลที่น่าสนใจครับ..

 

แต่ก่อนอื่น.. เราลองย้อนกลับไปดูรูปแบบธุรกิจของ RS กันก่อนเล็กน้อยครับ

คนในยุคก่อนเนี่ย เวลานึกถึง RS ก็จะนึกถึงค่ายเพลง และธุรกิจสื่อบันเทิงเป็นหลัก ซึ่งทำให้บริษัทมีความเชี่ยวชาญในด้านการนำเสนอ และเข้าถึงกลุ่มลูกค้า

ต่อมาบริษัทก็เริ่มเบนเข็มจากธุรกิจเพลง มาเป็นธุรกิจสื่อบันเทิง ตามด้วยการนำเสนอสินค้าผ่านช่องทาง RS Mall ของตัวเอง ที่มีผู้ติดตามเป็นจำนวนมาก

และในขณะเดียวกัน RS ก็ได้ศึกษาและจัดตั้งบริษัท Lifestar ผลิตสินค้าสุขภาพและความงามภายใต้แบรนด์ของตัวเองด้วย แต่ยังไม่มีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตัวเองเท่านั้น

การเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ซึ่งเป็นธุรกิจคอมเมิร์ซนั้นสร้างรายได้ที่ดีมากให้แก่ RS โดยรายได้ด้านนี้เติบโตขึ้นมากกว่า 600% ในเวลาเพียงไม่กี่ปีแต่พอถึงจุดหนึ่ง RS ก็ต้องมองหาโอกาสใหม่ๆ เพื่อขยายศักยภาพของบริษัทต่อไป

การที่บริษัทมีข้อมูลความต้องการของลูกค้าหลายล้านรายอยู่แล้ว ก้าวต่อไปก็คือจะต้องเริ่มใช้ฐานข้อมูลที่มี เพื่อผลิตสินค้าใหม่ๆ จากโรงงานของตัวเองออกมาจำหน่าย เพื่อลดต้นทุน ทั้งยังเป็นการสร้างผลตอบแทนใหม่ๆ ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย และสามารถควบคุมคุณภาพได้อีกด้วย

โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าด้านสุขภาพ ที่กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

อ้างอิงจากยอดขายบน RS Mall รายได้จากสินค้าเพื่อสุขภาพเติบโตจาก 1,800 ล้านบาท มาเป็น 2,100 ล้านบาทในปีล่าสุด

 

มาถึงจุดนี้ หลายคนน่าจะพอเห็นภาพแล้วว่าการเข้าลงทุนในบริษัทดังกล่าวซึ่งมีชื่อว่า “สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง” นั้นจะมาช่วยเติมเต็มธุรกิจได้อย่างไรบ้าง?

เพราะบริษัทดังกล่าว มีนวัตกรรมและความเชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ ที่ได้รับการรับรองมาตรฐานในระดับสากล

ทั้งยังเป็นผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสารสกัดธรรมชาติ และสมุนไพรไทยที่ใหญ่ที่สุดในโลก

โดยสเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง ประกอบไปด้วยบริษัทย่อยที่มีศักยภาพในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น

– บริษัท สเปเชียลตี้ เนเชอรัล โปรดักส์ จำกัด ผู้นำแห่งวงการผลิตสารสกัด และผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทย

– บริษัท สเปเชียลตี้ อินโนเวชั่น จำกัด ผู้เชี่ยวชาญนวัตกรรมด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อผลิตเครื่องสำอาง อาหารเสริม และยาแผนโบราณ

– บริษัท คาเน อินโนเวชั่น จำกัด สร้างสรรค์นวัตกรรมแพคเกจจิ้ง ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากประเทศญี่ปุ่น

– บริษัท เวลโนเวชั่นส์ จำกัด วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ และสร้างแบรนด์สำหรับผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และอาหารเสริม เพื่อทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากนี้ “สเปเชียลตี้ โฮลดิ้ง” ยังถือใบอนุญาตในการผลิตและสกัดกัญชงอยู่ด้วย ซึ่งทำให้การผลิตภัณฑ์จากกัญชงของ RS จะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน ตามแผนที่เคยประกาศไว้ว่าจะจัดจำหน่ายใน ไตรสมาส 4 ของปีนี้

 

ยิ่งไปกว่านั้น อ้างอิงจากที่ RS เปิดเผยออกมา กลุ่มบริษัทสเปเชียลตี้ มีรายได้ราว 491 ล้านบาท และกำไร 114 ล้านบาทในปีล่าสุด

เพราะฉะนั้นตัวเลขการเข้าซื้อ 675 ล้านบาท ได้หุ้น 33% นั้น คำนวณคร่าวๆ ก็จะเป็นค่า P/E ประมาณ 17 เท่า ซึ่งตัวเลขดังกล่าวกับบริษัทที่กำลังเติบโต ดูจะเป็นเรื่องที่ไม่ได้แพงมากจนเกินไป

รวมถึงการเข้ามาของ RS น่าจะช่วยสนับสนุน ผลักดันให้กลุ่มธุรกิจสเปเชียลตี้ สร้างกำไรได้มากยิ่งขึ้นในอนาคต จากช่องทางต่างๆ ที่บริษัทใหญ่มีพร้อมสนับสนุนอยู่แล้ว

และที่สำคัญก็คือ ธุรกิจที่ครบวงจรเช่นนี้ กำลังวางแผนจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ไทย ในปี 2565 ซึ่งจะช่วยเร่งการเติบโตให้มากขึ้นไปอีก

 

 

การเติมจิ๊กซอว์ชิ้นนี้เข้ามา กลายเป็นว่า RS ก็จะเปลี่ยนจากแค่สื่อกลางและผู้ขาย กลายมาเป็นธุรกิจครบวงจรที่มีขนาดใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำใน 6 ขั้นตอน ซึ่งประกอบไปด้วย

– การจัดหาวัตถุดิบเอง สามารถควบคุมคุณภาพได้ตั้งแต่การเพาะปลูก

– การพัฒนาผลิตภัณฑ์ จากข้อมูลความต้องการสินค้าของลูกค้าที่มีอยู่แล้ว

– การผลิตสินค้า ภายใต้โรงงานคุณภาพของตนเอง ที่ควบคุมมาตรฐานได้

– ทำการตลาดเองในช่องทางของสื่อที่ RS เป็นเจ้าของ และมีเทเลเซลล์ กว่า 500 คน ให้บริการลูกค้าได้ตลอด 24 ชั่วโมง

– มีช่องทางการขาย ผ่านทางช่องทางของ RS เอง ทั้ง On Air และ Online

– และมีคลังสินค้าขนาดใหญ่ และระบบบริหารสินค้าของตัวเองที่มีมาตรฐานสากล ทำให้การจัดส่งสินค้าถึงมือลูกค้าได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ครบวงจรแบบนี้ ทำให้สิ่งที่เรียกว่า Ecosystem ของ RS สมบูรณ์ยิ่งขึ้น และอาจจะช่วยให้บริษัทมีผลการดำเนินงานที่ดี ตามเป้าหมายที่วางไว้ในอนาคต

ก้าวการเติบโตทางธุรกิจของ RS หลังจากนี้ไป จึงถือว่าน่าจับตามอง และน่าสนใจไม่น้อยเลยเช่นกัน…

 

Advertisement

แสดงความคิดเห็น...