Facebook
Twitter
LINE

เพราะบางครั้ง “วิกฤติ” มักจะมาถึงเราแบบไม่ทันตั้งตัวเสมอ

ลองย้อนกลับไปเมื่อตอนต้นปี 2020 ตอนนั้นหลายคนวางแผนอะไรกันเอาไว้!?

บางคนกำลังจะเรียนจบ กลายเป็นบัณฑิตใหม่ เตรียมสมัครงานเป็นที่แรก

บางคนเพิ่งออกจากงานประจำ มาลงทุนทำธุรกิจส่วนตัวที่ฝันไว้

ขณะที่เจ้าของกิจการหลายคน ก็นำเงินมาลงทุนขยายกิจการที่กำลังไปได้ดี

แต่ใครจะคิดว่าจะมีโรคระบาด เกิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น แล้วแผนการณ์หลายๆ อย่างที่คิดเอาไว้ ก็ต้องเปลี่ยนไปในทันที

ที่ยกตัวอย่างมาข้างต้น ก็คือ “ความเสี่ยง” ของการใช้ชีวิตและทำธุรกิจ ซึ่งแม้เราจะควบคุมปัจจัยของเราเองให้ดีแค่ไหน แต่ก็มีปัจจัยภายนอกที่เราควบคุมไม่ได้ แต่กลับส่งผลกระทบหนักกว่าปัจจัยภายในเสียอีก

ยกตัวอย่างเช่น..

เราทำงานประจำหรือธุรกิจด้านการท่องเที่ยว แต่เมื่อเกิดการล็อกดาวน์และห้ามเดินทางระหว่างประเทศ เราต้องหยุดงาน ทำให้รายได้เป็น 0 ไปในทันที

ยิ่งไปกว่านั้น งานที่ต้องคลุกคลีกับนักท่องเที่ยว ทำให้เราได้รับเชื้อโควิด-19 ซึ่งนำมาสู่การกักตัว เข้ารับการรักษา และเสียค่าใช้จ่ายตามมา

ซึ่งการยกตัวอย่างโควิด-19 มานั้น เป็นแค่เพียง 1 โรคที่เราอาจจะต้องเผชิญอย่างไม่คาดฝันเท่านั้น

เพราะในความเป็นจริง เรายังจะต้องเสี่ยงกับโรคร้ายที่เข้ามาตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจ โรคความดัน โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคฮิตของคนไทยอย่างมะเร็ง เช่นกัน

อ๊ะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่าเรามาขายประกันสุขภาพ

เพราะที่กล่าวเรื่องประกันนั้น ไม่ใช่เฉพาะเรื่องสุขภาพด้วย แต่ยังรวมถึงประกันภัยในรูปแบบอื่นๆ ที่ส่งผลต่อธุรกิจของเราเอง

ทั้งการประกันภัยรถยนต์ ประกันภัยขนส่ง ประกันอัคคีภัย ประกันสินค้า หรือประกันภัยเบ็ดเตล็ด

ยกตัวอย่างง่ายๆ ให้เห็นภาพ สมมติว่าเราทำธุรกิจขนส่ง หากเราไม่มีประกันภัยรถยนต์อยู่เลย แล้วจู่ๆ ก็เกิดน้ำท่วมลานจอดรถยนต์ของเรา ทั้งที่ไม่เคยท่วมมาหลายสิบปี

รถยนต์ทุกคันถูกน้ำท่วมหมด ไม่สามารถใช้งานออกไปสร้างรายได้ แล้วก็ไม่มีใครมาจ่ายค่าชดเชยให้ด้วย เท่ากับว่าธุรกิจของคุณแทบจะล่มสลายไปในเพียงข้ามคืนเท่านั้น!!

ถึงกรณีที่ยกตัวอย่างมาจะเลวร้ายไปสักนิด แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นไม่ได้

เรียกว่ายิ่งธุรกิจของเราครอบคลุมด้านต่างๆ มากแค่ไหน ค่าใช้จ่ายในการประกันความเสี่ยงก็จะยิ่งสูงขึ้นตามไปด้วย

และสิ่งที่จะมาปกป้องทั้งชีวิต การทำงาน การเงิน รวมถึงธุรกิจของเราในยุคฟื้นตัวเศรษฐกิจหลังโควิด-19 ส่วนหนึ่งก็คือการมีหลักประกันที่ครอบคลุม

ว่าถึงแม้จะเกิดวิกฤติอะไรขึ้นมาหลังจากนี้ เราก็อาจจะแค่สะดุดล้มบาดเจ็บเล็กน้อย ไม่ถึงกับล้มจนลุกไม่ได้อีกครั้งเลย

 

หลังจากวิกฤติโควิด-19 ผ่านพ้นไป ก็จะเข้าสู่ภาวะของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

ซึ่งแน่นอนว่าเศรษฐกิจไทย ก็ยังไม่สามารถกลับไปเติบโตในระดับเดิมได้ในทันที

อ้างอิงจากธนาคารแห่งประเทศไทย ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยนั้นจะค่อยๆ ฟื้นตัวในรูปแบบของเครื่องหมาย Swoosh หรือเครื่องหมายถูกหางยาว

พูดง่ายๆ ก็คือ เศรษฐกิจที่ตกลงอย่างรุนแรงและรวดเร็ว จะค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาทีละเล็กละน้อย จนกว่าจะกลับไปเหมือนช่วงก่อนวิกฤติ ก็อาจจะต้องกินเวลายาวนาน 2-5 ปีต่อจากนี้

เพราะฉะนั้น ช่วงเวลาก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น จึงเป็นช่วงเวลาที่เราต้องใช้จ่ายทุกอย่าง ให้ทั้งคุ้มค่า และเสี่ยงน้อยที่สุด

อย่างที่กล่าวไปข้างต้น หลายคนอาจจะเลือกวิธีป้องกันความเสี่ยงด้วย “การทำประกัน”

แต่ถึงจะทำประกันแล้ว จะดีกว่าไหมถ้าการจ่ายค่าประกัน นั้นคุ้มค่ายิ่งกว่าเดิม!?

สมมติว่าเราจ่ายเบี้ยประกันชีวิต ปีละ 50,000 บาท แลกกับความคุ้มครอง 5,000,000 บาท

เมื่อเทียบกันแบบง่ายๆ เท่ากับว่าตัวเลขความคุ้มครอง ต่อเบี้ยประกันต่อปี จะอยู่ที่ประมาณ 100 เท่า

แต่หากเราสามารถใช้จ่ายได้อย่างคุ้มค่าขึ้น เช่น ได้รับส่วนลดเบี้ยประกัน 10% เหลือจ่ายเพียงปีละ 45,000 บาท แต่ความคุ้มครองยังเท่าเดิม

เท่ากับตัวเลขความคุ้มครอง ต่อเบี้ยประกันต่อปี จะเพิ่มขึ้นไปเป็น 111 เท่าทันที

ที่สำคัญก็คือ เราสามารถนำเงินที่เป็นส่วนลด 5,000 บาทนั้นไปใช้จ่ายหมุนเวียนอื่นๆ เก็บเป็นเงินออม หรือกระทั่งนำไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนให้เงินงอกเงยยิ่งขึ้น

สรุปว่าหากคุณสามารถหาความคุ้มค่าและส่วนลดตรงนี้ได้ คุณเองก็จะได้รับข้อดีถึง 3 ต่อ..

ทั้งการจ่ายค่าเบี้ยประกันที่ลดลงในแต่ละปี

อัตราส่วนของความคุ้มครองต่อเบี้ยประกันที่สูงขึ้น

รวมถึงการมีเงินลงทุนเพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่าในอนาคต..

 

แล้วจ่ายเบี้ยประกันแบบไหน ถึงจะได้ส่วนลดเยอะ!?

มาถึงจุดนี้ คุณอาจจะไม่รู้ว่า “บัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ” ให้เงินคืนเมื่อคุณจ่ายเบี้ยประกันอีกด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้ครับ..

ถ้าชำระค่าเบี้ยประกัน ด้วยบัตรอินฟินิท และบัตรประเภทอื่นๆ ทุก 1,000 บาท พร้อมใช้คะแนนสะสม 1,000 คะแนน จะได้เงินคืน 13%

หรือว่ากันง่ายๆ ก็ คือแลกคะแนนสะสม 10,000 คะแนน ได้เงินคืน 1,300 บาทนั่นเองครับ

ถัดมา ถ้าชำระค่าเบี้ยประกัน 200,000 บาทขึ้นไป/เซลส์สลิป พร้อมใช้คะแนนสะสม 200,000 คะแนน จะรับเงินคืนสูงถึง 15% หรือสูงสุด 30,000 บาท

และสุดท้ายคือการใช้บัตรวีซ่าอินฟินิทธนาคารกรุงเทพ ชำระค่าเบี้ยประกัน 500,000 บาทขึ้นไป/เซลส์สลิป พร้อมใช้คะแนนสะสม 500,000 คะแนน

กรณีนี้จะได้เงินคืนสูงสุดถึง 18% หรือเป็นเงิน 90,000 บาทเลยทีเดียว

ตรงจุดนี้เราจะเห็นว่า บัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพ นั่นถือว่าน่าสนใจมาก สำหรับคนที่จ่ายเบี้ยประกันสูงอยู่แล้ว โดยเฉพาะบัตรวีซ่าอินฟินิทธนาคารกรุงเทพ ที่จะได้รับเงินคืนสูงสุดที่มากถึง 90,000 บาท

ใช้จ่ายคุ้มค่าขนาดนี้ สำหรับใครที่สนใจบัตรเครดิตของธนาคารกรุงเทพ สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครได้เลยที่ https://www.bangkokbank.com/th-TH/Personal/Cards/Credit-Cards/Promotions/insuranceJUNE2020?fbclid=IwAR2Awelmbad17PnmO5aYu3jYNAF2cVTnLlU3Gs0LSfoklfPy58TQI9v_nEM

 

แสดงความคิดเห็น...