พูดถึงร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven คือหนึ่งในธุรกิจที่ยังสามารถเปิดบริการได้ในช่วงวิกฤติโควิด-19 ที่ผ่านมา (แม้อาจจะมีการจำกัดเวลาเปิดปิดก็ตาม)
แต่สงสัยกันหรือไม่ว่าในปี 2563 ที่ผ่านมานั้น ธุรกิจของ CPALL เจ้าของร้าน 7-Eleven นั้นสามารถสร้างกำไรได้มากน้อยแค่ไหน?
และคุณอาจจะแปลกใจ เมื่อรู้ว่ารายได้ของ CPALL ในปีที่ผ่านมาก็ลดลงไปเหมือนกัน
ก่อนอื่นมาทำความเข้าใจโครงสร้างรายได้ของ CPALL กันสักเล็กน้อย โดยจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ ได้แก่..
– ธุรกิจร้านสะดวกซื้อ คิดเป็นสัดส่วน 55%
– ธุรกิจร้านค้าส่งบริการตัวเอง (Makro) ประมาณ 35%
– ธุรกิจอื่นๆ เช่น เคาน์เตอร์เซอร์วิส ผลิตจำหน่ายอาหาร ประมาณ 10%
ซึ่งปรากฏว่า รายได้ในกลุ่มแรกก็คือร้านสะดวกซื้อ 7-Eleven นั้น มีการปรับตัวลดลงจากในปีก่อนหน้า
ในขณะที่ Makro กลับมีรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการซื้อของกินของใช้เพื่อกักตุนในช่วงที่โควิด-19 เริ่มระบาดใหม่ๆ และรัฐบาลประกาศล็อกดาวน์
อันที่จริง ในวิกฤติโควิด-19 นี้ ทางบริษัทก็ชี้แจงว่า 7-Eleven เองก็มีการปรับตัวเพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงช่องทางการขายสินค้ามากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าจะเป็น การเพิ่มบริการเดลิเวรี่ การเพิ่มตู้ขายของอัตโนมัติ หรือการส่งเสริมช่องทางซื้อของผ่านออนไลน์มากยิ่งขึ้น
แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเมื่อมีการล็อกดาวน์ ก็จะส่งผลให้คนไม่อยากออกไปนอกบ้านมากขึ้น และหันไปใช้บริการเดลิเวรี่อาหารเจ้าอื่นๆ ที่กำลังได้รับความนิยมขึ้นมาแทน
นี่ก็อาจจะเป็นหนึ่งในเหตุผลหนึ่ง ซึ่งทำให้คนเลือกเข้าไปซื้ออาหาร-เครื่องดื่มใน 7-Eleven น้อยลงไปกว่าที่เคยเป็น
ถึงรายได้จาก Makro และบริการอื่นๆ จะเพิ่มขึ้น แต่พอหักลบกับรายได้ 7-Eleven ที่ลดลงแล้ว พบว่ารายได้ทั้งปี 2563 ของบริษัท ซีพี ออลล์ จํากัด (มหาชน) นั้นลดลงเหลือประมาณ 525,800 ล้านบาท
เมื่อเทียบกับรายได้เดิมในปี 2562 ซึ่งทำได้ 546,600 ล้านบาท คิดเป็นการลดลงประมาณ 4.5%
ในส่วนของกำไรก็ลดลงเช่นเดียวกัน จากเดิมปีก่อนหน้าทำกำไร 22,300 ล้านบาท ลดลงมาเหลือเพียง 16,100 ล้านบาท คิดเป็นการลดลงประมาณ 28%
โดยทางบริษัทให้เหตุผลหลัก 2 ส่วน ด้วยกัน ส่วนแรกคือการดําเนินงานได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19
ส่วนที่สองก็คือ มีต้นทุนทางการเงินเพิ่มขึ้นจากการปฎิบัติตามมาตรฐานบัญชีใหม่ TFRS16
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางวิกฤติโควิด-19 แม้กำไรจะลดลงจากเดิม แต่ตัวเลขจำนวนสาขาของร้าน 7-Eleven กลับเปิดเพิ่มขึ้นสวนทางกับอีกหลายธุรกิจ
โดยระหว่างปี 2563 มีร้าน 7-Eleven เปิดใหม่รวม 723 สาขา ทำให้ข้อมูลในปีล่าสุด ตอนนี้ประเทศไทยมีร้านอยู่ทั้งหมด 12,432 สาขาทั่วประเทศ
สำหรับหุ้นของ CPALL เองก็เป็นอีกหนึ่งหุ้นที่นักลงทุนให้ความสนใจ และให้ความคาดหวังค่อนข้างสูง
แต่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่ช่วงเวลาที่สวยงามของนักลงทุนหุ้นตัวนี้สักเท่าไร เพราะจากราคาสูงสุดที่ 87 บาท ปัจจุบันหุ้นซื้อขายกันอยู่ราวๆ 58 บาท
หรือพูดง่ายๆ ก็คือ การลงทุน 100,000 บาทเมื่อเกือบ 2 ปีก่อน ตอนนี้จะเหลือมูลค่าเงินลงทุนประมาณ 66,000 บาทเท่านั้น!!
ที่น่าสนใจหลังจากนี้ก็คือ เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างกลับมาเป็นปกติในปี 2021 เป็นต้นไป ธุรกิจของ CPALL จะเดินหน้าสร้างรายได้และกำไรเพิ่มขึ้นได้อีกครั้งหรือไม่?
คิดเห็นอย่างไรกับธุรกิจดังกล่าว ลองมาร่วมแลกเปลี่ยน แชร์ความคิดเห็นกันครับ..
ร่วมแสดงความคิดเห็นที่
Advertisement